พลิกวิกฤตเศรษฐกิจไทย: อสังหาริมทรัพย์คือหัวใจสำคัญของการฟื้นตัวในทศวรรษใหม่
ในฐานะที่คลุกคลีอยู่ในวงการ อสังหาริมทรัพย์ไทย มายาวนานกว่าทศวรรษ ผมเชื่อว่าเรากำลังยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน จนหลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า “อนาคตของเศรษฐกิจไทยจะไปในทิศทางใด และโอกาสในการฟื้นตัวอยู่ตรงไหน?” บทความนี้ ผมจะพาทุกท่านเจาะลึกสถานการณ์ปัจจุบัน สำรวจบทเรียนจากนานาประเทศ และนำเสนอแนวทางที่ผมเชื่อว่า อสังหาริมทรัพย์ไทย จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้พ้นจากกับดักที่กำลังเผชิญอยู่
ทศวรรษที่สาบสูญ: สัญญาณเตือนที่ไม่อาจมองข้าม
เราต้องยอมรับความจริงว่า เศรษฐกิจไทย กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงเพราะผลพวงจากสถานการณ์โควิด-19 แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเคยกล่าวเตือนถึง “กับดักทศวรรษที่สาบสูญ” ซึ่งสะท้อนภาพที่การลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในภาวะซบเซา สัญญาณต่างๆ ชี้ชัดว่า หากไม่มีการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ เราอาจจะติดอยู่ในหล่มนี้ไปอีกนาน
ในช่วง 20-30 ปีก่อน เศรษฐกิจไทย เติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยเครื่องจักรสำคัญคือภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปแล้ว สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานและการส่งออกของไทย สินค้าจากจีนที่ถูกกีดกันทางการค้าได้ทะลักเข้ามายังตลาดภูมิภาค ซึ่งไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่ดุเดือดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เศรษฐกิจจีนเองก็อยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อและการลงทุนในระดับโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนศักยภาพของ เศรษฐกิจไทย คือปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ จากที่เคยอยู่ที่ราว 40% ของ GDP เมื่อสิบปีก่อน ปัจจุบันตัวเลขนี้ทะยานไปถึง 126% ของ GDP เมื่อเทียบกับทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนว่าเรากำลังใช้จ่ายเงินในอนาคตเพื่อหล่อเลี้ยงการบริโภคในปัจจุบัน การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แม้จะจำเป็นในบางครั้ง แต่หากปราศจากการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืน ก็จะยิ่งทำให้ภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นและบั่นทอนโอกาสการเติบโตในระยะยาว
นอกจากนี้ ปัญหาโครงสร้างประชากรก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามได้ สังคมไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จำนวนแรงงานลดลงและขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมยังคงเป็นบาดแผลที่กัดกินโอกาสในการพัฒนาประเทศ และแม้ว่าไทยจะพยายามลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่เราก็ยังขาดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ อันเนื่องมาจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยี ทำให้การพึ่งพิงการนำเข้ายังคงเป็นประเด็นหลัก
ภาคการส่งออกสินค้าอื่นๆ ที่ไทยเคยเป็นแชมป์ในอดีตก็เริ่มถดถอยลงไป และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ หรือความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมสถานการณ์ให้ยากลำบากยิ่งขึ้น
ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นความหวังสำคัญของรัฐบาล ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเคยเป็นกลุ่มหลัก กลับมาน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ทั้งหมดนี้คือภาพรวมที่สะท้อนว่า การพึ่งพาโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ไม่ใช่ทางออกอีกต่อไปแล้ว
ถึงเวลาต้องปฏิรูป: บทเรียนจากการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจโลก
เมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายเหล่านี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องกล้าที่จะทบทวนและปรับเปลี่ยน เพราะการพึ่งพาภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมหนักมากเกินไปนั้น ได้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว บทเรียนจากหลายประเทศทั่วโลกชี้ให้เห็นว่า การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างกล้าหาญนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ อย่างมหาศาล
สิงคโปร์: จากประเทศที่เคยพึ่งพาภาคอุตสาหกรรม ได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ภาคบริการที่มีสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GDP โดยเน้นการสร้างรายได้จากต่างประเทศในด้านการเงิน การธนาคาร เทคโนโลยี ดิจิทัลอีโคโนมี และการศึกษา ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีระดับโลก
เกาหลีใต้: จากการเน้นอุตสาหกรรมหนัก ได้หันมาพัฒนาด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, ซีรีส์) และภาคบริการ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 10% ของ GDP และสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับประเทศ
ฮ่องกง: จากอุตสาหกรรมโรงงานทอผ้า ได้ปรับเปลี่ยนสู่ภาคการเงิน บริการ และ อสังหาริมทรัพย์ กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญที่สุดในเอเชีย
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ): เคยพึ่งพารายได้จากการขายน้ํามันเป็นหลัก แต่วันนี้รายได้จากน้ํามันลดลงเหลือไม่ถึง 30% ของ GDP พวกเขาพลิกโฉมประเทศไปสู่การท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการ การส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (Meetings, Incentives, Conferences, and Exhibitions) และการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ ระดับโลก
อังกฤษ: ในอดีตเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันภาคบริการมีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยลอนดอนได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีที่สำคัญของยุโรป
โครงสร้าง GDP ของไทยในปัจจุบันยังคงพึ่งพาการบริโภคภาคเอกชน (57.7%) การลงทุนภาคเอกชน (17.3%) การใช้จ่ายภาครัฐ (22.2%) และการส่งออกสินค้าและบริการ (65.4%) ขณะที่ภาคการผลิต แบ่งเป็นเกษตรกรรม 8.4% อุตสาหกรรม 39.2% และบริการ 52% คำถามคือ รายได้จากการส่งออกที่แท้จริงที่ไหลเข้าสู่ประเทศนั้นมีสัดส่วนเท่าใดเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและการแข่งขันที่รุนแรง? ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพิจารณาการปรับโครงสร้างจาก “อุตสาหกรรม” ไปสู่ “บริการและ อสังหาริมทรัพย์” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยมีศักยภาพและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
อสังหาริมทรัพย์ไทย: ขุมทรัพย์ที่ถูกมองข้าม
หากเรามองหาธุรกิจที่ประเทศไทยมีสิ่งดีๆ มากมายที่ชาวต่างชาติชื่นชอบและมีศักยภาพในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง “ภาคบริการ” และ “ภาค อสังหาริมทรัพย์ไทย” คือคำตอบ กรุงเทพฯ ติดอันดับ 1 เมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในปี 2024 ระบบสาธารณสุขของไทยมีชื่อเสียงระดับโลก โดยมีโรงพยาบาลติดอันดับดีที่สุดในโลกหลายแห่ง คนไทยมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีการบริการที่เป็นเลิศ ค่าครองชีพที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก อาหารไทยเป็นที่ยอมรับระดับโลก สภาพอากาศที่อบอุ่น และคุณภาพอินเทอร์เน็ตที่ดีเยี่ยม สิ่งเหล่านี้คือแม่เหล็กชั้นดีที่ดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาพำนักอาศัยและใช้ชีวิตในไทย
ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองข้ามข้อจำกัดเดิมๆ และปลดล็อกศักยภาพของ อสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในไทยได้กว้างขวางมากขึ้น ไม่ใช่แค่คอนโดมิเนียมเท่านั้น หลายคนอาจกังวลเรื่องการสูญเสียที่ดิน แต่ในความเป็นจริง ประเทศไทยมีที่ดินรวม 321 ล้านไร่ และมีเอกสารสิทธิ์ถึง 127 ล้านไร่ (40%) หากเราอนุญาตให้มีการซื้อขายบ้านให้กับชาวต่างชาติจำนวน 2 แสนหลังต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาล พื้นที่ที่ถูกซื้อขายไปนั้นจะคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดในไทย นี่คือข้อพิสูจน์ว่าความกังวลเรื่องการถูกครอบครองที่ดินโดยต่างชาติเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล
ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ 392,858 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 1,065,008 ล้านบาท หากเราสามารถขายบ้านให้ชาวต่างชาติได้เพียง 1 ใน 4 ของจำนวนนี้ จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้ถึง 1 ล้านล้านบาท ลองคิดดูว่าเม็ดเงินมหาศาลนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ขนาดไหน
ชาวต่างชาติจำนวนมากต้องการเข้ามาใช้ชีวิตในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงเพราะการท่องเที่ยวระยะสั้น แต่เพราะคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในราคาที่สมเหตุสมผล อสังหาริมทรัพย์ไม่แพง สังคมไทยเป็นมิตร สิ่งเหล่านี้เป็นแรงจูงใจสำคัญ แม้ว่านโยบายที่ผ่านมาจะมุ่งเน้นกลุ่มผู้มีรายได้สูง แต่ในทางปฏิบัติ กลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อและสนใจจริงจังมักจะเป็นกลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูงที่มองหาบ้านในระดับราคา 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีขนาดใหญ่และมีศักยภาพในการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
ผลกระทบเชิงบวกจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทย:
การส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อ อสังหาริมทรัพย์ไทย เพื่ออยู่อาศัย จะก่อให้เกิดประโยชน์หลายมิติ:
กระตุ้นยอดขายอสังหาริมทรัพย์: เพิ่มอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยที่กำลังซบเซา
ขับเคลื่อนธุรกิจต่อเนื่อง: ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง การตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ และบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยจะได้รับอานิสงส์
สร้างการจ้างงาน: ทั้งทางตรงในภาคการก่อสร้าง การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และทางอ้อมในภาคบริการต่างๆ
เพิ่มการบริโภคในท้องถิ่น: ชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักจะจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น
เพิ่ม GDP และภาษี: ตัวอย่างที่เคยมีการคำนวณไว้แสดงให้เห็นว่า การขายบ้าน 10,000 หลัง สามารถเพิ่ม GDP ได้ 0.75% หากสามารถเพิ่มเป็น 100,000 หลังได้ จะเพิ่ม GDP ได้ถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ปัจจุบัน มีการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ชาวต่างชาติทั้งโดยถูกต้องและในรูปแบบ Nominee ในหลายพื้นที่ เช่น ภูเก็ต และพัทยา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของตลาด หากเราสามารถทำให้กระบวนการเหล่านี้โปร่งใส ถูกต้องตามกฎหมาย และเอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น ประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับก็จะเพิ่มขึ้นทวีคูณ และจะช่วยเพิ่ม Yield อสังหาริมทรัพย์ โดยรวมของตลาดด้วย
บทเรียนจากทั่วโลก: อสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือฟื้นฟูเศรษฐกิจ
หลายประเทศเคยเผชิญปัญหาเศรษฐกิจคล้ายคลึงกับไทย ทั้งกำลังซื้อภายในประเทศลดลง หนี้ครัวเรือนสูง และรายได้ไม่เติบโต พวกเขาเลือกใช้ อสังหาริมทรัพย์ เป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ด้วยการดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้อและใช้จ่ายภายในประเทศ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
โปรตุเกส: โครงการ Golden Visa ที่เริ่มต้นในปี 2012 อนุญาตให้ชาวต่างชาติลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิ์พำนัก ทำให้มีเงินทุนไหลเข้าประเทศกว่า 7 พันล้านยูโร ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤต และกระตุ้นราคาบ้านให้ฟื้นตัว
สเปน: หลังวิกฤตปี 2008 ได้ออกโครงการ Residency by Investment เปิดให้ต่างชาติลงทุน 500,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซา ส่งผลให้ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี โดยเฉพาะการดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์: มีโครงการ Freehold Property ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านแบบกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ได้ ดึงดูด นักลงทุนต่างชาติ จำนวนมหาศาล ทำให้ภาค อสังหาริมทรัพย์หรู และการท่องเที่ยวมีสัดส่วนถึง 50% ของ GDP จนกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก
กรีซ: โครงการ Greece Golden Visa เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ 250,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับวีซ่าพำนัก ทำให้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ เติบโตถึง 60% ภายใน 10 ปี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาเลเซีย: โครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) เปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามาพำนักระยะยาว กระตุ้นตลาดบ้าน และดึงดูดกลุ่มผู้เกษียณอายุและ นักลงทุนต่างชาติ จากจีนและญี่ปุ่น
บทเรียนเหล่านี้ชัดเจนว่า การใช้ อสังหาริมทรัพย์ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยอาศัยกำลังซื้อจากต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นไปได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การสื่อสารและ ดิจิทัลอสังหาฯ มีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงและนำเสนอข้อมูลให้แก่ นักลงทุนต่างชาติ
ก้าวต่อไปของอสังหาริมทรัพย์ไทย: สร้างโอกาสบนวิกฤต
ในฐานะ ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ และผู้ที่คลุกคลีในวงการนี้ ผมขอยืนยันว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทบทวนนโยบายและแนวคิดเกี่ยวกับการถือครอง อสังหาริมทรัพย์ไทย ของชาวต่างชาติ เพื่อเปลี่ยนถ่ายจากเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคอุตสาหกรรม มาสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคบริการและ อสังหาริมทรัพย์ เรามีจุดแข็งที่นานาชาติให้การยอมรับ เพียงแค่เรากล้าที่จะปลดล็อกศักยภาพเหล่านี้
การมีกฎระเบียบที่ชัดเจน โปร่งใส และเอื้อต่อ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ของต่างชาติ จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ประเทศ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟู เศรษฐกิจไทย ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาถึง สิทธิการถือครองที่ดิน สำหรับที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติภายใต้เงื่อนไขที่รัดกุมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ซึ่งต่างจากการเก็งกำไรใน ตลาดทุนอสังหาฯ และยังอาจพิจารณาการออก วีซ่านักลงทุน เฉพาะสำหรับผู้ที่ลงทุนในภาค อสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ การส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่าง EEC (ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก) ซึ่งครอบคลุมจังหวัดชลบุรีและระยอง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างพัทยาและภูเก็ต หรือแม้แต่การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ และบ้านพักตากอากาศในแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจากนโยบายที่ส่งเสริมการซื้อ อสังหาริมทรัพย์ไทย ของชาวต่างชาติ
ในวันที่ เศรษฐกิจไทย เผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ผมเชื่อมั่นว่าการให้ อสังหาริมทรัพย์ไทย เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก จะเป็นหนึ่งในทางออกที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุด นี่คือโอกาสทองที่เราจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน และนำพาประเทศไทยก้าวพ้นจากกับดักแห่งทศวรรษที่สาบสูญ
ถึงเวลาที่เราจะต้องลงมือทำแล้ว เพื่อปลดล็อกศักยภาพของ อสังหาริมทรัพย์ไทย และเปลี่ยนให้เป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย ไปสู่อนาคตที่สดใส ผมขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง มาร่วมกันศึกษา วิเคราะห์ และผลักดันนโยบายที่กล้าหาญและสร้างสรรค์ เพื่อใช้ศักยภาพที่เรามีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านสนใจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในประเทศไทย หรือต้องการปรึกษาแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับโอกาสใหม่ๆ นี้ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้าน อสังหาริมทรัพย์ เพื่อเริ่มต้นก้าวไปด้วยกัน.

