• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D1912138 ตอนเด อดร อนว งเข าหา พอหมดค าแค หน าก ไม อยากมอง part2

admin79 by admin79
December 22, 2025
in Uncategorized
0
D1912138 ตอนเด อดร อนว งเข าหา พอหมดค าแค หน าก ไม อยากมอง part2

ภาคอสังหาริมทรัพย์: ฟันเฟืองสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในยุควิกฤตและความท้าทาย

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการพลิกผันทางเศรษฐกิจมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ ณ ห้วงเวลาปัจจุบันที่ใกล้จะเข้าสู่ปี 2568 สถานการณ์เศรษฐกิจไทยกลับเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ที่ซับซ้อนและท้าทายอย่างยิ่ง คำถามที่ดังขึ้นเรื่อยๆ คือ “โอกาสรอดของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ไหน” และเราจะสามารถปรับโครงสร้างเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างไร บทความนี้จะเจาะลึกถึงวิกฤตการณ์ที่กำลังถาโถม เสนอแนวทางการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจโดยใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน และสำรวจศักยภาพอันมหาศาลที่ประเทศไทยมีในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติผ่านนโยบายที่ชาญฉลาด การมองการณ์ไกลและการดำเนินการอย่างเด็ดขาดคือกุญแจสำคัญสู่ การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยอสังหาริมทรัพย์ ให้หลุดพ้นจากหล่มความซบเซา

บทความฉบับเต็ม:

สถานการณ์เศรษฐกิจไทย: มรสุมความท้าทายที่ต้องเผชิญ

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับ “ทศวรรษที่สาบสูญ” รอบใหม่ ดังที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และอดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจน สัญญาณเหล่านี้ไม่ใช่เพียงลมปาก แต่สะท้อนจากข้อมูลเชิงประจักษ์และการลงทุนในตลาดหุ้นที่ไม่แสดงวี่แววการฟื้นตัวเลย นี่คือภาพสะท้อนอนาคตที่ต้องจับตา

ประการแรกคือ สงครามการค้า (Trade War) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานและการส่งออกของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญกำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวและการถูกโจมตีทางการค้า ทำให้สินค้าจำนวนมากจากจีนถูกดันเข้ามาในตลาดภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย ซึ่งสร้างแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประการที่สองคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงอย่างน่าตกใจ จากที่เคยอยู่ระดับ 40% ของ GDP เมื่อสิบกว่าปีก่อน ปัจจุบันตัวเลขนี้ทะลุเกิน 126% ของระดับเมื่อ 10 ปีที่แล้วไปมาก นี่คือการนำเงินในอนาคตมาใช้จ่าย ซึ่งบั่นทอนกำลังซื้อภายในประเทศและสร้างภาระทางการเงินอย่างมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้น การอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงพึ่งพาการใช้เงินในอนาคต ซึ่งจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวเป็นไปได้ยากขึ้น

ประการที่สามคือ ปัญหาโครงสร้างประชากร ซึ่งเป็นระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจของไทย การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วส่งผลให้มีกำลังแรงงานลดลงและประสิทธิภาพในการผลิตของประเทศลดต่ำลงในระยะยาว นอกจากนี้ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมยังคงเป็นบาดแผลเรื้อรังที่ฉุดรั้งศักยภาพโดยรวมของชาติ

ประการที่สี่คือ การพึ่งพิงอุตสาหกรรมเดิมๆ มากเกินไป โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อน GDP และการส่งออก แต่ในปัจจุบันเรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ไทยยังขาดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ เนื่องจากเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าพอ ทำให้เราเสียเปรียบในการแข่งขันระดับโลก ส่วนสินค้าส่งออกอื่นๆ ที่ไทยเคยเป็นผู้นำก็เริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับประเทศคู่แข่ง นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มความผันผวนและความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจการค้าโลก

สุดท้าย แม้รัฐบาลจะคาดหวังรายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อช่วย กระตุ้นเศรษฐกิจไทย แต่การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับไปสู่ระดับก่อนโควิด-19 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป สถานการณ์ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เราไม่สามารถเดินหน้าด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว

พลิกโฉมโครงสร้างเศรษฐกิจ: บทเรียนจากนานาชาติ

เมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายเชิงโครงสร้าง การปรับเปลี่ยนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วน โครงสร้าง GDP ของไทยในปัจจุบันยังคงพึ่งพาการบริโภคภาคเอกชน (57.7%) การลงทุนภาคเอกชน (17.3%) การใช้จ่ายภาครัฐ (22.2%) การส่งออกสินค้าและบริการ (65.4%) และการนำเข้า (63.7%) ขณะที่ภาคการผลิต แบ่งเป็นเกษตรกรรม 8.4% อุตสาหกรรม 39.2% และบริการ 52% คำถามคือการส่งออกเหล่านั้น ประเทศไทยได้รับผลตอบแทนอย่างเต็มที่หรือไม่ และเราจะเพิ่มมูลค่าได้อย่างไร

บทเรียนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้หากมีวิสัยทัศน์และการวางแผนที่เด็ดขาด

สิงคโปร์ พลิกโฉมจากประเทศอุตสาหกรรมสู่ศูนย์กลางภาคบริการระดับโลก โดยภาคบริการมีสัดส่วนถึง 70% ของ GDP สร้างรายได้มหาศาลจากการเงิน ธนาคาร เทคโนโลยี เศรษฐกิจดิจิทัล และการศึกษา
เกาหลีใต้ จากที่เคยเน้นอุตสาหกรรมหนัก ก็หันมาลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัย อุตสาหกรรมบันเทิง และภาคบริการ ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่อ GDP
ฮ่องกง เปลี่ยนจากโรงงานทอผ้าเป็นศูนย์กลางการเงิน การบริการ และภาคอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันซึ่งปัจจุบันเหลือน้อยกว่า 30% ของ GDP แล้ว หันมาเน้นการท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการ และส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (การประชุม สัมมนา และแสดงสินค้า) ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
อังกฤษ ซึ่งเคยเป็นผู้นำอุตสาหกรรม ก็ได้ปรับเปลี่ยนมาสู่ภาคบริการที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีของยุโรปอย่างแท้จริง

จากกรณีศึกษาเหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่าการปรับตัวจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นนั้นเป็นทางออกที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ ซึ่งประเทศไทยก็มีศักยภาพและจุดแข็งมากมายที่ชาวต่างชาติชื่นชอบและพร้อมที่จะเข้ามาจับจ่ายใช้สอย

ภาคอสังหาริมทรัพย์: ฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุคใหม่

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าคิด กล้าเปลี่ยน โดยใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นฟันเฟืองสำคัญในการ กระตุ้นเศรษฐกิจไทย เพราะประเทศไทยมีคุณสมบัติพิเศษที่ดึงดูดชาวต่างชาติจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก (ปี 2024) โรงพยาบาลระดับโลกติดอันดับต้นๆ (5 แห่ง) ผู้คนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี บริการที่ยอดเยี่ยม และค่าครองชีพที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับคุณภาพชีวิตที่ดี อาหารไทยที่ได้รับการยอมรับ สภาพอากาศที่อบอุ่นตลอดปี ระบบสาธารณสุขที่เข้าถึงได้ และคุณภาพอินเทอร์เน็ตที่ดี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวต่างชาติต้องการเข้ามาพำนักและลงทุนในประเทศไทย

การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่ภาคบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์ควบคู่กันไปจึงเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลและมีศักยภาพสูงอย่างยิ่ง

ปลดล็อกศักยภาพ: ประโยชน์ของการเปิดรับนักลงทุนต่างชาติสู่ภาคอสังหาฯ ไทย

ในอดีตหลายประเทศก็เคยเผชิญปัญหาเศรษฐกิจคล้ายคลึงกับไทย ทั้งกำลังซื้อภายในประเทศลดลง หนี้ครัวเรือนสูง และรายได้ไม่เติบโต แต่พวกเขาเหล่านั้นสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้สำเร็จด้วยการดึงชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์และใช้จ่ายในประเทศ นี่คือกรณีศึกษาที่ควรนำมาพิจารณาอย่างจริงจังเพื่อ การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยอสังหาริมทรัพย์:

โปรตุเกส: มีโครงการ Golden Visa ตั้งแต่ปี 2012 โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อแลกกับสิทธิพำนักถาวร ทำให้เงินทุนไหลเข้ากว่า 7 พันล้านยูโร และประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤต กระตุ้นราคาบ้านให้ฟื้นตัว
สเปน: หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ได้เปิดโครงการ Residency by Investment ให้ต่างชาติลงทุน 500,000 ยูโรขึ้นไป ส่งผลให้ตลาดบ้านที่ซบเซาฟื้นตัว และ GDP เติบโต 3% ภายใน 5 ปี โดยดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลางจำนวนมาก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): โครงการ Freehold Property ที่อนุญาตให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ได้ ดึงดูดนักลงทุนมหาศาล ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็น 50% ของ GDP และกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก
กรีซ: โครงการ Greece Golden Visa ที่ให้สิทธิชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อขอวีซ่าพำนัก ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโต 60% ภายใน 10 ปี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรปได้อย่างมีนัยสำคัญ
มาเลเซีย: โครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาพำนักระยะยาว กระตุ้นตลาดบ้าน และดึงดูดกลุ่มผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น

จากบทเรียนเหล่านี้ ผมในฐานะ ที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯ และผู้เชี่ยวชาญ จึงเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรพิจารณาอย่างจริงจังในการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลายคนอาจกังวลว่าที่ดินจะถูกต่างชาติยึดครอง แต่ความเป็นจริงคือ ประเทศไทยมีที่ดินรวม 321 ล้านไร่ และมีเอกสารสิทธิ์ 127 ล้านไร่ (40%) หากสมมติว่าใน 1 ปี เราขายบ้านให้ต่างชาติได้ 2 แสนหลัง ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก พื้นที่ที่ใช้ไปจะยังไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่มี ดังนั้น ความกังวลเรื่องการถูกครอบครองที่ดินทั้งหมดจึงไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง

ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ 392,858 หน่วย มูลค่ากว่า 1.06 ล้านล้านบาท หากเราสามารถดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อได้แม้เพียง 1 ใน 4 ของจำนวนนี้ จะสร้างมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินมหาศาลที่ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง นักลงทุนต่างชาติที่สนใจ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย โดยเฉพาะในตลาดระดับกลางถึงสูง (ราคา 5-7 ล้านบาท ไม่ใช่ 10 ล้านบาทขึ้นไป) จะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้ออย่างแท้จริง และพวกเขายังมองว่า อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย มีราคาที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยมที่ได้รับ นี่คือ โอกาสลงทุนไทย ที่สำคัญอย่างยิ่ง

ผลกระทบจากการส่งเสริมโครงการนี้เพื่อ การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยอสังหาริมทรัพย์ มีหลายมิติ:
การขายบ้าน: สร้างยอดขายให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์โดยตรง
อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง: ได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่ เกิดการจ้างงานในภาคการผลิต
การจ้างงาน: ทั้งทางตรงและทางอ้อมในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ช่างฝีมือ ผู้รับเหมา นายหน้า และภาคบริการ
การบริโภคในท้องถิ่น: ผู้ที่เข้ามาพำนักจะใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าบริการต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้ของคนในท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายย่อย
รายได้จากภาษี: ภาษีอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ และภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะช่วยเพิ่มรายได้เข้ารัฐ

ลองพิจารณาตัวเลข หากสามารถขายบ้านให้ต่างชาติได้ 10,000 หลัง จะสามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง 0.75% แต่ถ้าทำได้ถึง 100,000 หลัง GDP จะเพิ่มขึ้นถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลและจะส่งผลให้ เศรษฐกิจไทย พลิกฟื้นได้อย่างก้าวกระโดด ในปัจจุบันก็มีการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน โดยชาวต่างชาติทั้งในรูปแบบที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องในนามนอมินีจำนวนหลายหมื่นหลังในพื้นที่ยอดนิยมอย่าง ภูเก็ต และ พัทยา การนำสิ่งเหล่านี้มาอยู่บนระบบที่โปร่งใสและถูกต้อง จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทบทวนแนวคิดและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ สิทธิการถือครองอสังหาริมทรัพย์ โดยชาวต่างชาติ การเปลี่ยนถ่ายจากภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแรงไปสู่การพึ่งพาภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้กำลังซื้อจากต่างประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตของ การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยอสังหาริมทรัพย์ ในระยะยาว

บทสรุป: ก้าวสู่ยุคใหม่ของเศรษฐกิจไทย

สถานการณ์ปัจจุบันบีบบังคับให้เราต้องคิดนอกกรอบและมองหาทางออกใหม่ๆ อย่างจริงจัง ภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงและเชื่อมโยงกับภาคส่วนอื่นๆ อย่างกว้างขวาง คือคำตอบที่ชัดเจนในการ กระตุ้นเศรษฐกิจไทย ให้หลุดพ้นจากวิกฤต การเปิดรับนักลงทุนต่างชาติให้สามารถ ซื้อบ้านในประเทศไทยสำหรับต่างชาติ ได้อย่างเป็นระบบ โปร่งใส และเป็นธรรม จะไม่เพียงแค่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลเข้าสู่ประเทศ แต่ยังช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในระยะยาว

ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในวงการ ผมมองเห็นถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในความท้าทายนี้ หากเรากล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล อนาคตเศรษฐกิจไทย จะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่หมุนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมกันพิจารณาแนวทางนี้อย่างจริงจัง เพื่อสร้าง โอกาสลงทุนไทย ที่สดใสและมั่นคงให้กับคนรุ่นหลัง

หากท่านต้องการเจาะลึกข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย หรือปรึกษาเกี่ยวกับ กฎหมายอสังหาริมทรัพย์ไทย และโอกาสในการ ซื้อคอนโดมิเนียมหรูในกรุงเทพฯ หรือ ที่ดินเพื่อการลงทุนไทย ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำแนะนำและข้อมูลเชิงลึก เพื่อวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายของท่าน โปรดติดต่อเราเพื่อเริ่มต้นการสำรวจศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยวันนี้.

Previous Post

D1912147 กชะตาน องแฟน เลยอยากได มาควงแขนส กหน อย! part2

Next Post

D1912139 แม านปร ญญาตร จากก นได ซะท ชายไม ได เร อง! part2

Next Post
D1912139 แม านปร ญญาตร จากก นได ซะท ชายไม ได เร อง! part2

D1912139 แม านปร ญญาตร จากก นได ซะท ชายไม ได เร อง! part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D2312005 อะไรๆพ ตค งต นไม part2
  • D2312004 อสาม ไม มารยาทเอาซะเลย part2
  • D2312003 บรถหร มาอวด อต องตกงาน part2
  • D2312002 กล าด งไง โยนขวดใส รถหร ของฉ part2
  • D2312001 ไม องสนใจ จงเป นในส งท ควรเป part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.