หัวข้อ: อสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2025: กลยุทธ์ปฏิรูปโครงสร้างสู่ยุคใหม่ ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้ประกอบการ
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมเฝ้ามองพลวัตของเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด เห็นทั้งช่วงขาขึ้นและช่วงที่ต้องเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ วันนี้เรากำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญยิ่ง คำถามที่ว่า “เศรษฐกิจไทยถึงทางตัน โอกาสรอดอยู่ตรงไหน” ไม่ใช่เพียงคำถามปลายเปิด แต่คือเสียงสะท้อนความกังวลที่ต้องเร่งหาคำตอบอย่างจริงจัง
เมื่อพิจารณาสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เราจะพบว่าสัญญาณเตือนดังขึ้นถี่กว่าที่เคย การพึ่งพาโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ นั้นเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “ความจำเป็นเร่งด่วน” ที่ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่ง และจากประสบการณ์ของผม ผมเชื่อมั่นว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพ และวางรากฐานการเติบโตที่ยั่งยืนสำหรับประเทศ
วิกฤตการณ์ที่ซับซ้อน: ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยยุคใหม่
ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายด้านที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก เริ่มจากเสียงเตือนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ชี้ว่าประเทศไทยกำลังติดกับดัก “ทศวรรษที่สาบสูญ” ซึ่งรุนแรงกว่าในอดีตมาก เราเห็นได้ชัดจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่ไร้สัญญาณฟื้นตัว สะท้อนภาพอนาคตที่ไม่สดใสนัก
ปัจจัยภายนอกอย่าง “สงครามการค้า” ระหว่างมหาอำนาจที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานและการส่งออกของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเศรษฐกิจจีนชะลอตัว สินค้าจากจีนที่เคยส่งออกไปตลาดตะวันตกได้กลับถูกส่งมายังประเทศใกล้เคียงมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันที่ดุเดือดและส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยยังคงเป็นอุปสรรคขนาดใหญ่ที่กัดกินกำลังซื้อภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากระดับ 40% ของ GDP เป็นกว่า 90% ในปัจจุบัน (ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นปี 2566) ซึ่งการเติบโตนี้ไม่ได้เกิดจากประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ แต่เกิดจากการนำเงินในอนาคตมาใช้ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการใช้จ่ายในระยะสั้น ซึ่งจะยิ่งทำให้การเติบโตในระยะยาวเป็นเรื่องยากขึ้น การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องทำอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
ปัญหาโครงสร้างประชากรก็เป็นอีกหนึ่งระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง สังคมสูงวัยที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะและผลิตภาพสูง ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นอกจากนี้ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมยังคงเป็นบาดแผลเรื้อรังที่ขัดขวางการกระจายความมั่งคั่งและโอกาสอย่างทั่วถึง
ในอดีต ประเทศไทยพึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ลงทุนโดยญี่ปุ่นเป็นหลักในการขับเคลื่อน GDP และการส่งออก แต่ในปัจจุบัน แม้จะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น แต่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนสำคัญป้อนอุตสาหกรรม EV ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีและองค์ความรู้ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ทำให้เรายังคงเป็นเพียงฐานการผลิตมากกว่าจะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม
การส่งออกสินค้าอื่นๆ ที่ไทยเคยเป็น “แชมเปี้ยน” ในอดีตก็เผชิญความท้าทายอย่างหนัก กลุ่มประเทศเป้าหมายเดิมมีการเปลี่ยนแปลงรสนิยมและความต้องการ ขณะที่คู่แข่งใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก เช่น ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หรือความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ล้วนเป็นปัจจัยที่ไม่คาดฝันและพร้อมจะกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตและการค้าโลกได้ตลอดเวลา
รัฐบาลยังคงมีความหวังกับรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่เคยสร้างรายได้สูงสุดก่อนวิกฤตโควิด-19 แต่ต้องยอมรับว่า การจะกลับไปสู่จุดเดิมนั้นไม่ง่ายดาย โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นเช่นยุคก่อนโควิดนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ โจทย์ใหญ่คือการยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสู่ “High Value Tourism” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและใช้จ่ายสูงขึ้น
ถอดรหัสการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง: บทเรียนจากนานาชาติเพื่ออนาคตไทย
จากสถานการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยไม่สามารถอยู่รอดได้ด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจึงเป็นหัวใจสำคัญ เราจำเป็นต้องทบทวนโมเดลการพึ่งพิงภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมหนักมากเกินไป และหันมาสร้างความสมดุลด้วยการเสริมสร้างศักยภาพของภาคส่วนอื่นที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมหาศาล
เรามีตัวอย่างมากมายจากหลายประเทศที่เคยเผชิญกับสถานการณ์คล้ายคลึงกัน และประสบความสำเร็จในการพลิกโฉมเศรษฐกิจของตนเองได้อย่างน่าทึ่ง:
สิงคโปร์: จากเดิมที่เน้นภาคอุตสาหกรรม ได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ “ภาคบริการ” อย่างเต็มตัว คิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของ GDP โดยสร้างรายได้จากต่างประเทศผ่านศูนย์กลางทางการเงิน การธนาคาร เทคโนโลยี Digital Economy และการศึกษา กลยุทธ์นี้ทำให้สิงคโปร์กลายเป็น Hub ของเอเชีย
เกาหลีใต้: จากที่เคยเน้นอุตสาหกรรมหนัก ก็หันมาลงทุนในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, ซีรีส์) และบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งภาคบริการแม้จะมีสัดส่วนเพียง 10% ของ GDP แต่ก็เป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมและวัฒนธรรมที่สร้างเม็ดเงินมหาศาล
ฮ่องกง: จากฐานการผลิตโรงงานทอผ้า ได้เปลี่ยนมาเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการ และภาคอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): จากการพึ่งพารายได้จากการขุดเจาะน้ำมัน วันนี้รายได้จากน้ำมันเหลือไม่ถึง 30% ของ GDP พวกเขาพลิกโฉมประเทศด้วยการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงหรูหรา ธุรกิจบริการ และส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (การประชุม สัมมนา และงานแสดงสินค้า) ทำให้ดูไบกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
สหราชอาณาจักร: จากผู้นำด้านอุตสาหกรรมในอดีต ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่ภาคบริการที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยกรุงลอนดอนได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีของยุโรป
โครงสร้าง GDP ของไทยในปัจจุบัน แบ่งเป็นภาคการบริโภคภาคเอกชน 57.7%, การลงทุนภาคเอกชน 17.3%, การใช้จ่ายภาครัฐ 22.2%, การส่งออกสินค้าและบริการ 65.4% และการนำเข้าสินค้าและบริการ 63.7% ขณะที่รายได้จากการส่งออกนั้น ต้องถามว่าไทยได้รับผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยแค่ไหน ในด้านการผลิต ภาคเกษตรกรรม 8.4%, ภาคอุตสาหกรรม 39.2% และภาคบริการ 52% ชี้ให้เห็นว่าภาคบริการของไทยยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมากหากได้รับการสนับสนุนที่ถูกจุด
ประเทศไทยมี “สิ่งดีๆ” มากมายที่ชาวต่างชาติชื่นชอบและยอมรับ ข้อมูลปี 2024 กรุงเทพมหานครยังคงติดอันดับ 1 ในเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก เรามีโรงพยาบาลระดับโลกถึง 5 แห่งที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก คนไทยมีมนุษยสัมพันธ์ดี มี Service Mind ที่เป็นเลิศ อาหารไทยเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับระดับโลก ค่าครองชีพไม่แพง สภาพอากาศดี ระบบสาธารณสุขมีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ และโครงข่ายอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง เหล่านี้คือ “จุดแข็ง” ที่เราต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อสังหาริมทรัพย์: หัวใจสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้พ้นวิกฤต
จากบทเรียนจากนานาชาติ และจุดแข็งที่ประเทศไทยมี ผมจึงเชื่ออย่างยิ่งว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพิจารณา “บทบาทของอสังหาริมทรัพย์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ในอนาคต ประเทศไทยมีศักยภาพและเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาอยู่อาศัยและลงทุนได้มหาศาล และนี่คือโอกาสทองที่เราจะใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องยนต์หลักในการเปลี่ยนโครงสร้าง GDP สู่ภาคบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัว
การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่เพียงแค่การขายบ้าน แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่ครบวงจร ตั้งแต่การจ้างงานในภาคก่อสร้าง ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง การขนส่ง การตกแต่ง ไปจนถึงธุรกิจบริการต่อเนื่อง เช่น การดูแลรักษา บริการทำความสะอาด การท่องเที่ยว การศึกษา การแพทย์ และการบริโภคในท้องถิ่น ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนจำนวนมหาศาลและกระจายรายได้สู่ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ
หากเราเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนในไทยอย่างเป็นรูปธรรม จะเป็นการดึงเม็ดเงินจากต่างชาติเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อที่หายไปจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และแก้ปัญหาการลงทุนในประเทศที่ชะลอตัว
กลไกขับเคลื่อน: อสังหาริมทรัพย์สร้างมูลค่าได้อย่างไร
กลไกการสร้างมูลค่าของภาคอสังหาริมทรัพย์นั้นมีความซับซ้อนและมีผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง:
การจ้างงานมหาศาล: ภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจก่อสร้างเป็นภาคส่วนที่ใช้แรงงานจำนวนมาก ทั้งแรงงานฝีมือและแรงงานทั่วไป การลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้าน คอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ หรือโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ จะสร้างงานโดยตรงและโดยอ้อมให้กับคนไทยหลายแสนตำแหน่ง
กระตุ้นภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง: การก่อสร้างต้องการวัสดุจำนวนมาก ตั้งแต่ปูนซีเมนต์ เหล็ก อิฐ กระเบื้อง สุขภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
เพิ่มการบริโภคในท้องถิ่น: เมื่อชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัย พวกเขาจะใช้จ่ายในประเทศ ทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้า โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและจังหวัดต่างๆ ให้คึกคัก
เพิ่มรายได้เข้ารัฐ: การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ก่อให้เกิดรายได้ในรูปของภาษีต่างๆ เช่น ภาษีการโอน ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะของประเทศ
สร้างความเชื่อมั่นและการลงทุน: การที่ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ ซึ่งจะดึงดูดการลงทุนในภาคส่วนอื่นๆ ตามมา และส่งผลให้ประเทศไทยเป็นที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุนทั่วโลก
ตัวอย่างเช่น การขายบ้านและอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ให้ชาวต่างชาติได้ 10,000 หน่วย อาจทำให้ GDP ของประเทศเพิ่มขึ้น 0.75% แต่หากสามารถผลักดันให้ถึง 100,000 หน่วย จะส่งผลให้ GDP เพิ่มขึ้นถึง 7% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ไม่เคยเห็นมานาน และปัจจุบันแม้จะมี การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ชลบุรี, อสังหาริมทรัพย์ ภูเก็ต และ อสังหาริมทรัพย์ พัทยา ที่ชาวต่างชาติถือครองอยู่ทั้งแบบถูกกฎหมายและผ่านนอมินีรวมกันหลายหมื่นหน่วยแล้ว ก็ยังถือว่ามีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมหาศาลหากมีนโยบายที่ชัดเจนและเอื้อต่อการลงทุน
กางแผนดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ: กุญแจสู่การเติบโตยั่งยืน
เพื่อปลดล็อกศักยภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ในการเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผมขอเสนอแนวทางที่สำคัญดังนี้:
พิจารณาการอนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย: ประเทศไทยมีที่ดินรวมประมาณ 321 ล้านไร่ และมีเอกสารสิทธิราว 127 ล้านไร่ (40%) การวิตกกังวลว่าที่ดินจะถูกต่างชาติยึดครองจนหมดนั้นไม่เป็นความจริง จากการคำนวณ หากเราขายบ้านให้ชาวต่างชาติได้ 200,000 หลังต่อปี ก็ยังคิดเป็นสัดส่วนที่ดินไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดในประเทศไทยเลยด้วยซ้ำ การให้สิทธิ์นี้ควรมาพร้อมกับมาตรการควบคุมที่เหมาะสม เช่น กำหนดประเภทของอสังหาริมทรัพย์ หรือขนาดที่ดินที่จำกัด เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการดึงดูดการลงทุนและการรักษาผลประโยชน์ของชาติ
พัฒนานโยบายวีซ่าพิเศษสำหรับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์: ควรมีการพิจารณาโครงการคล้าย “Golden Visa” หรือ “Residency by Investment” เช่นเดียวกับหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จ โดยให้สิทธิพำนักระยะยาวแก่ชาวต่างชาติที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของไทยในมูลค่าที่กำหนดไว้ ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจสำคัญสำหรับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย
ส่งเสริมตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะ: กำหนดพื้นที่และประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนจากต่างชาติ เช่น อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่าง ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ หัวหิน หรือคอนโดมิเนียมต่างชาติในกรุงเทพฯ โดยอาจมีการผ่อนคลายกฎระเบียบบางอย่าง เพื่อให้กระบวนการซื้อขายและ โอนกรรมสิทธิ์ เป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการรองรับ: การที่ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานมากขึ้น จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีรองรับ เช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล ถนนหนทาง ระบบขนส่งสาธารณะ และสาธารณูปโภคที่ทันสมัย ซึ่งจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของคนไทยด้วย
สร้างความชัดเจนและโปร่งใสของกฎหมายที่ดินและอสังหาริมทรัพย์: นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญกับความชัดเจนและความมั่นคงทางกฎหมาย การสร้างระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรม จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุนระยะยาว
ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ 392,858 หน่วย มูลค่ากว่า 1,065,008 ล้านบาท หากเราสามารถดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์คิดเป็น 1 ใน 4 ของมูลค่าดังกล่าว นั่นหมายถึงเม็ดเงินมหาศาลประมาณ 2.5 แสนล้านบาทต่อปี ที่จะไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และจากประสบการณ์ในตลาด คาดการณ์ว่ากลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อบ้านในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง โดยมีกำลังซื้อบ้านในระดับราคา 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีขนาดใหญ่และเป็นไปได้จริง
กรณีศึกษาความสำเร็จจากทั่วโลก: บทพิสูจน์พลังของอสังหาริมทรัพย์
ลองมาดูกรณีตัวอย่างจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤต หรือเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน:
โปรตุเกส: ในปี 2012 โปรตุเกสได้เปิดตัวโครงการ “Golden Visa” โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป ได้รับสิทธิพำนักถาวร ผลลัพธ์คือมีเงินทุนไหลเข้าประเทศกว่า 7 พันล้านยูโร ช่วยฟื้นเศรษฐกิจจากวิกฤตหนี้สาธารณะ และกระตุ้นให้ราคาบ้านฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
สเปน: หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 สเปนก็ใช้โมเดล “Residency by Investment” โดยเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติที่ลงทุน 500,000 ยูโรขึ้นไป ได้รับวีซ่าพำนัก ส่งผลให้ตลาดบ้านที่ซบเซากลับมาคึกคัก และ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี โดยสามารถดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลางจำนวนมาก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): ด้วยโครงการ “Freehold Property” ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold ได้อย่างเต็มที่ ดึงดูดนักลงทุนมหาศาลจากทั่วโลก จนภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็นกว่า 50% ของ GDP ทำให้ดูไบกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลกอย่างแท้จริง
กรีซ: โครงการ “Greece Golden Visa” ซึ่งกำหนดให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อรับวีซ่าพำนักถาวร ได้ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตกว่า 60% ภายใน 10 ปี ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศหลังวิกฤตหนี้ยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาเลเซีย: โครงการ “Malaysia My Second Home (MM2H)” เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาพำนักระยะยาว กระตุ้นตลาดบ้านและดึงดูดทั้งกลุ่มผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ
บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยอสังหาริมทรัพย์ โดยการเปิดประตูต้อนรับการลงทุนจากต่างชาติ ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง และประเทศไทยเองก็มีศักยภาพที่จะทำเช่นนั้นได้
ไทยแลนด์ 4.0 กับโอกาสของภาคอสังหาริมทรัพย์: จุดแข็งที่ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ภายใต้กรอบนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่เน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็สามารถปรับตัวและเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาได้เช่นกัน การนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI, Big Data, และ IoT มาใช้ในการบริหารจัดการอาคาร การตลาดอสังหาริมทรัพย์ และการสร้าง Smart City จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าเพิ่มให้กับภาคส่วนนี้
นอกจากนี้ จุดแข็งเฉพาะตัวของประเทศไทยยังเป็นแม่เหล็กสำคัญ:
ศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ (Medical Hub): ด้วยโรงพยาบาลคุณภาพระดับโลกและค่ารักษาพยาบาลที่สมเหตุสมผล ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของ “Medical Tourism” ซึ่งเป็นโอกาสในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภท Medical Condos หรือ Wellness Resorts สำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแล
แหล่งท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์: ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวระดับโลก และมีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ความเร่งรีบของเมืองใหญ่อย่าง กรุงเทพฯ ไปจนถึงความเงียบสงบของภูเขาทางภาคเหนืออย่าง เชียงใหม่ หรือชายหาดที่สวยงามของภูเก็ตและหัวหิน ซึ่งดึงดูดกลุ่ม Digital Nomads, ผู้เกษียณอายุ และผู้ที่ต้องการบ้านพักตากอากาศ
ค่าครองชีพที่คุ้มค่า: เมื่อเทียบกับประเทศตะวันตกหรือประเทศพัฒนาแล้ว ค่าครองชีพในไทยยังถือว่าไม่สูงมากนัก ทำให้ชาวต่างชาติสามารถใช้ชีวิตที่มีคุณภาพได้ในงบประมาณที่จำกัด
สังคมที่เป็นมิตรและวัฒนธรรมอันงดงาม: ความเป็นมิตรของผู้คนและวัฒนธรรมไทยที่โดดเด่น เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวต่างชาติรู้สึกอบอุ่นและอยากมาใช้ชีวิตในประเทศไทย
ดังนั้น การเชื่อมโยงจุดแข็งเหล่านี้เข้ากับนโยบาย การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มที่ยั่งยืน และดึงดูดนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่มองหาโอกาสระยะยาว
ข้อพิจารณาและการรับมือกับความท้าทาย: สร้างสมดุลเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ย่อมมาพร้อมกับความท้าทาย เราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และวางแผนการรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ:
ปัญหา affordability สำหรับคนไทย: การที่ชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก อาจทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น จนคนไทยบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ไม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ รัฐบาลควรมีมาตรการรองรับ เช่น การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับคนไทย การสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม หรือการกำหนดโซนสำหรับชาวต่างชาติอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้กระทบต่อ ตลาดบ้าน ของคนท้องถิ่น
ความตึงเครียดทางสังคมและวัฒนธรรม: การหลั่งไหลของชาวต่างชาติจำนวนมากอาจนำมาซึ่งความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความไม่เข้าใจ การส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเคารพซึ่งกันและกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ความเสี่ยงด้านการฟอกเงิน: การเปิดโอกาสให้มีการลงทุนจากต่างชาติ อาจมีความเสี่ยงที่เม็ดเงินผิดกฎหมายจะไหลเข้ามาในประเทศ รัฐบาลต้องมีมาตรการตรวจสอบและควบคุมที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเรื่องของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย
ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน: การเพิ่มขึ้นของประชากรต่างชาติในบางพื้นที่ อาจทำให้เกิดปัญหาการรองรับด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค เช่น การจราจรติดขัด การขาดแคลนน้ำประปาหรือไฟฟ้า การจัดการขยะ ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานล่วงหน้าอย่างรอบคอบ
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ หากเรามีการวางแผนที่รัดกุม มีกฎระเบียบที่ชัดเจนและเป็นธรรม และมีการสื่อสารกับประชาชนอย่างเข้าใจ การดำเนินการอย่างเป็นระบบจะช่วยให้เราสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งรักษาผลประโยชน์ของชาติและคุณภาพชีวิตของคนไทยไปพร้อมกัน
ก้าวต่อไป: อสังหาริมทรัพย์คืออนาคตของเศรษฐกิจไทย
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มายาวนาน ผมเชื่อมั่นว่านี่คือช่วงเวลาสำคัญที่เราต้องกล้าคิด กล้าเปลี่ยน และกล้าที่จะผลักดันยุทธศาสตร์ใหม่ๆ เพื่ออนาคตของเศรษฐกิจไทย การพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เราเติบโตได้อย่างยั่งยืนอีกต่อไป
การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยอสังหาริมทรัพย์ โดยการสร้างกำลังซื้อจากต่างประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือกหนึ่ง แต่เป็น “ทางรอด” ที่จะช่วยฟื้นฟูและสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของเราได้อย่างแท้จริง การตัดสินใจที่ชาญฉลาดในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางความมั่งคั่งของประเทศในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองภาคอสังหาริมทรัพย์ในมุมที่กว้างขึ้น ไม่ใช่แค่การสร้างที่อยู่อาศัย แต่เป็นการสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างอนาคตให้กับประเทศไทย
ผมขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้มาร่วมกันพิจารณาแนวทางนี้อย่างจริงจัง ศึกษาข้อมูลจากประเทศที่ประสบความสำเร็จ และร่วมกันกำหนดนโยบายที่กล้าหาญและรอบคอบ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน และก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนอย่างแท้จริง มาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่เศรษฐกิจไทย เพื่อให้ภาค อสังหาริมทรัพย์กับการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย เป็นเรื่องที่จับต้องได้และเกิดขึ้นจริงในไม่ช้า
หากท่านสนใจแนวทางการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ หรือต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย อย่าลังเลที่จะติดต่อเราเพื่อพูดคุยในรายละเอียดเพิ่มเติม เราพร้อมเป็นพันธมิตรในการสร้างการเติบโตไปด้วยกัน.

