พลิกวิกฤตเศรษฐกิจไทย: อสังหาริมทรัพย์คือเส้นทางสู่การฟื้นตัวที่ยั่งยืนในยุค 2025
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจมานับทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตและวิเคราะห์พลวัตของ เศรษฐกิจไทย มาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมได้เห็นทั้งช่วงเวลาแห่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับมรสุมทางเศรษฐกิจอันหนักหน่วง จนกระทั่งปัจจุบัน ปี 2025 ที่เรากำลังยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญนี้ คำถามที่ก้องอยู่ในใจผู้คนจำนวนมากคือ “อนาคตของ เศรษฐกิจไทย จะเดินไปในทิศทางใด และเราจะหาทางออกจากกับดักที่กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างไร” จากประสบการณ์ของผม ผมเชื่อมั่นว่าการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการใช้ศักยภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นเครื่องมือขับเคลื่อน ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะนำพาประเทศไทยก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ไปได้ และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
มรสุมทางเศรษฐกิจที่ถาโถม: ความจริงที่เราต้องเผชิญ
เราต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจไทย กำลังเผชิญกับ “ทศวรรษที่สาบสูญ” ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เสียงเตือนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรืออดีตผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจและประชาชนสัมผัสได้จริงในทุกวัน ตัวแปรสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อน ได้แก่:
สงครามการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนระอุ: ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ไม่ได้ลดลงเลย แต่กลับทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นในปี 2025 ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยนั้นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการย้ายฐานการผลิต การที่สินค้าจากจีนทะลักเข้ามาในตลาดใกล้เคียง รวมถึงตลาดไทย เนื่องจากจีนเองก็ได้รับผลกระทบจากเทรดวอร์อย่างหนัก สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทย ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของ เศรษฐกิจไทย มาโดยตลอด การพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เคยเป็นแชมเปี้ยนก็กำลังถูกท้าทายอย่างหนักจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเทคโนโลยีและซัพพลายเชนการผลิตชิ้นส่วนหลักยังไม่ได้อยู่ในการควบคุมของไทยอย่างเต็มที่
วิกฤตหนี้ครัวเรือนฉุดรั้งกำลังซื้อ: นี่คือปัญหาเรื้อรังที่กัดกินฐานรากของ เศรษฐกิจไทย มานานกว่าทศวรรษ จากสัดส่วนเพียง 40% ของ GDP เมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงเกิน 90% ของ GDP ซึ่งเป็นการดึงเอาอนาคตมาใช้ก่อน โดยที่รายได้ของประชาชนกลับไม่ได้เติบโตตามทัน อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นยิ่งซ้ำเติมภาระหนี้ ทำให้กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแอลงอย่างมาก การบริโภคที่ชะลอตัวส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาคธุรกิจและบริการ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจไทย อย่างแท้จริง
ปัญหาโครงสร้างประชากรและช่องว่างความเหลื่อมล้ำ: ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบ ส่งผลให้มีสัดส่วนประชากรวัยแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง การขาดแคลนแรงงานมีทักษะและประชากรวัยสร้างสรรค์นวัตกรรม จะเป็นข้อจำกัดใหญ่ในการเพิ่มผลิตภาพของประเทศในอนาคต นอกจากนี้ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากลึก ทำให้การกระจายรายได้และโอกาสทางเศรษฐกิจไม่ทั่วถึง ยิ่งสร้างความเปราะบางให้กับ เศรษฐกิจไทย
ความท้าทายของภาคการท่องเที่ยว: แม้รัฐบาลจะคาดหวังว่าภาคการท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย แต่สถานการณ์ในปัจจุบันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ยังไม่สามารถกลับมาได้เทียบเท่าช่วงก่อนโควิด-19 รูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป ความต้องการที่หลากหลายขึ้น และการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดโลก ทำให้เราต้องปรับตัวอย่างมาก หากต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงและสร้างรายได้ที่ยั่งยืน การพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวจึงอาจไม่เพียงพอ
ถึงเวลาต้องเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ: บทเรียนจากนานาชาติ
จากภาพรวมที่กล่าวมา จะเห็นได้ชัดว่าการพึ่งพิงโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ที่เน้นภาคส่งออกและอุตสาหกรรมหนักนั้น ไม่สามารถพา เศรษฐกิจไทย ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป เราจำเป็นต้องกล้าที่จะทบทวนและปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจในระดับรากฐาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับหลายประเทศทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จในการพลิกโฉมตัวเอง:
สิงคโปร์: จากเดิมที่พึ่งพาภาคอุตสาหกรรมหนัก ได้เปลี่ยนผ่านสู่ศูนย์กลางภาคบริการระดับโลก คิดเป็นกว่า 70% ของ GDP โดยเน้นภาคการเงิน เทคโนโลยี ดิจิทัลอีโคโนมี และการศึกษา ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศมหาศาล
เกาหลีใต้: ปรับจากอุตสาหกรรมหนักมาสู่เทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมบันเทิง และภาคบริการ นำเสนอวัฒนธรรมและนวัตกรรมสู่สายตาชาวโลก จนกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ทรงอิทธิพล
ฮ่องกง: จากฐานการผลิตสิ่งทอ เปลี่ยนสู่ศูนย์กลางการเงิน การบริการ และอสังหาริมทรัพย์ ที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจากทั่วโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ): จากประเทศที่พึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก (ปัจจุบันเหลือน้อยกว่า 30% ของ GDP) ได้ผันตัวเองสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการ อุตสาหกรรม MICE และ อสังหาริมทรัพย์ ระดับโลก ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก
อังกฤษ: ในอดีตคือผู้นำอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันภาคบริการมีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP กรุงลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เทคโนโลยี และนวัตกรรมของยุโรปอย่างแท้จริง
โครงสร้าง GDP ของไทยในปัจจุบันยังคงเน้นการบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ และภาคส่งออกเป็นหลัก ขณะที่โครงสร้างการผลิตยังกระจุกตัวในภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ โดยที่ภาคบริการยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมหาศาลหากได้รับการส่งเสริมอย่างถูกจุด ผมเชื่อว่าประเทศไทยมี “ของดี” ที่คนต่างชาติชื่นชอบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก ระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพและราคาเข้าถึงได้ มนุษยสัมพันธ์ที่ดีของคนไทย อาหารไทยที่โด่งดังระดับโลก และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ หากเราสามารถพลิกโฉมจากประเทศที่เน้นภาคอุตสาหกรรมไปสู่ประเทศที่เน้นภาคบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยดึงกำลังซื้อจากต่างประเทศเข้ามา จะเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
อสังหาริมทรัพย์: เครื่องจักรใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน อสังหาริมทรัพย์ ผมมองเห็นโอกาสทองที่ซ่อนอยู่ในภาคส่วนนี้ นั่นคือการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามามีกรรมสิทธิ์ใน อสังหาริมทรัพย์ เพื่อการอยู่อาศัยในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องและโปร่งใส ไม่ใช่แค่การเช่าระยะยาวหรือการใช้โครงสร้างนอมินีอีกต่อไป นี่ไม่ใช่แนวคิดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่เป็นสิ่งที่หลายประเทศทั่วโลกใช้เป็นกลยุทธ์ฟื้นฟูและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจมาแล้วอย่างประสบความสำเร็จ
เหตุใดการเปิดให้ต่างชาติเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นคำตอบสำหรับเศรษฐกิจไทย:
กระตุ้นเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): เมื่อชาวต่างชาติสามารถซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมในไทยได้โดยตรง จะเกิดเม็ดเงินลงทุนมหาศาลไหลเข้าสู่ประเทศทันที การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การซื้อที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นการนำเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนระยะยาวในประเทศ ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวม เศรษฐกิจไทย
ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่อเนื่อง: การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจวัสดุก่อสร้าง การออกแบบตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การดูแลรักษา อสังหาริมทรัพย์ การจัดสวน สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงเพิ่มรายได้ภาษีให้กับภาครัฐ
สร้างการจ้างงานและกระจายรายได้: การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมาก ตั้งแต่แรงงานก่อสร้าง วิศวกร สถาปนิก นายหน้า พนักงานขาย ไปจนถึงพนักงานบริการในโครงการต่างๆ สิ่งนี้จะช่วยลดปัญหาการว่างงานและสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น
เพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ: เมื่อชาวต่างชาติเข้ามาซื้อ อสังหาริมทรัพย์ และย้ายเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย พวกเขาจะกลายเป็นผู้บริโภครายใหม่ที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตรหลาน ซึ่งจะช่วยกระตุ้น เศรษฐกิจไทย ในระดับท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยกระดับคุณภาพชีวิตและสาธารณูปโภค: การเข้ามาของกลุ่มผู้อยู่อาศัยต่างชาติมักจะมาพร้อมกับความต้องการด้านสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีคุณภาพ ซึ่งจะผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่ง และบริการต่างๆ ในพื้นที่ให้ดีขึ้น
ข้อกังวลที่ต้องตอบ: ที่ดินไทยจะถูกต่างชาติยึดครองหมดหรือไม่?
ประเด็นนี้เป็นข้อถกเถียงสำคัญที่ผมเข้าใจดี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอยืนยันว่าความกังวลนี้สามารถบริหารจัดการได้ ประเทศไทยมีที่ดินรวม 321 ล้านไร่ โดยมีเอกสารสิทธิ์ประมาณ 127 ล้านไร่ (40%) หากเราอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยในวงจำกัดและมีเงื่อนไขที่ชัดเจน ตัวเลขการถือครองโดยต่างชาติจะน้อยมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศเกือบ 4 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท หากเราสามารถขายให้กับชาวต่างชาติได้ 1 ใน 4 ของจำนวนนี้ จะมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 2.5 แสนล้านบาท และแม้จะขายได้มากถึง 100,000 หน่วย คิดเป็นที่ดินที่ใช้ไปก็ยังไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่มีเอกสารสิทธิ์ในประเทศไทยเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น แนวคิดที่ว่าที่ดินไทยจะถูกต่างชาติยึดครองจึงไม่เป็นความจริง และสามารถกำหนดนโยบายเพื่อจำกัดประเภทและจำนวนของ อสังหาริมทรัพย์ ที่ชาวต่างชาติสามารถซื้อได้
บทเรียนความสำเร็จจากทั่วโลก: โมเดลที่ประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้
หลายประเทศได้พิสูจน์แล้วว่าการใช้ อสังหาริมทรัพย์ เป็นกลไกดึงดูดกำลังซื้อจากต่างชาติเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลจริง:
โปรตุเกส (Golden Visa, 2012): อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิพำนักถาวร โครงการนี้ดึงดูดเงินทุนกว่า 7 พันล้านยูโรเข้าสู่ประเทศ ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤต และกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เป็นการลงทุนระยะยาวที่สร้างประโยชน์มหาศาล
สเปน (Residency by Investment, หลังวิกฤต 2008): คล้ายกับโปรตุเกส โดยเปิดโอกาสให้ต่างชาติลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 500,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซา GDP ของสเปนฟื้นตัวถึง 3% ภายใน 5 ปี และดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลางจำนวนมาก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Freehold Property): การอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านแบบ Freehold ได้ดึงดูดนักลงทุนมหาศาล ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวรวมกันคิดเป็นกว่า 50% ของ GDP พลิกโฉมดูไบให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลกอย่างแท้จริง และยังเป็นโอกาสทองอสังหาฯ สำหรับนักลงทุน
กรีซ (Greece Golden Visa): เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับการได้วีซ่าพำนักถาวร ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรีซเติบโตกว่า 60% ภายใน 10 ปี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤตหนี้ยุโรปได้อย่างมีนัยสำคัญ
มาเลเซีย (Malaysia My Second Home – MM2H): โครงการพำนักระยะยาวสำหรับชาวต่างชาติ กระตุ้นตลาดบ้านและดึงดูดกลุ่มผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น ให้เข้ามาใช้ชีวิตและจับจ่ายใช้สอยในมาเลเซีย
จะเห็นได้ว่าโมเดลเหล่านี้ประสบความสำเร็จในการดึงดูด “กำลังซื้อต่างชาติ” ซึ่งเป็นกลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูง ที่ไม่ได้ต้องการ อสังหาริมทรัพย์หรู ราคาหลายสิบล้านบาทเสมอไป แต่ต้องการที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่เหมาะสม (เช่น 5-10 ล้านบาท) พร้อมคุณภาพชีวิตที่ดี สภาพอากาศที่น่าอยู่ อาหารอร่อย และระบบสาธารณสุขที่เข้าถึงได้ ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะนำเสนอสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเหนือกว่าประเทศคู่แข่งหลายราย
โอกาสทองของประเทศไทย: ก้าวต่อไปที่ต้องลงมือทำ
ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจอย่างกล้าหาญและเป็นระบบ เพื่อปลดล็อกศักยภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ ให้เป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้:
พัฒนากฎหมายและนโยบายที่ชัดเจนและโปร่งใส: รัฐบาลควรออกกฎหมายและระเบียบที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยได้อย่างชัดเจน โดยอาจจำกัดประเภท ขนาด ทำเล หรือจำนวนแปลง/หน่วยที่สามารถถือครองได้ รวมถึงกำหนดเงื่อนไขการลงทุนที่เอื้อต่อการลงทุนระยะยาว เช่น การให้วีซ่านักลงทุนสำหรับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในวงเงินที่กำหนด เพื่อดึงดูดการลงทุนในไทย
กำหนดกลุ่มเป้าหมายและประเภทอสังหาริมทรัพย์: มุ่งเน้นไปที่กลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อปานกลางถึงสูงที่ต้องการเข้ามาอยู่อาศัยจริง ไม่ใช่แค่การเก็งกำไร โดยอาจเน้นไปที่คอนโดมิเนียม หรือบ้านในโครงการจัดสรรที่มีการบริหารจัดการที่ดี และส่งเสริมการพัฒนาที่ดินเพื่อการลงทุนในพื้นที่ยุทธศาสตร์
ส่งเสริมการตลาดเชิงรุก: ประชาสัมพันธ์ศักยภาพของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่น่าอยู่อาศัยและน่าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ให้ชาวต่างชาติรับทราบถึงข้อดีต่างๆ ทั้งค่าครองชีพ คุณภาพชีวิต ระบบสาธารณสุข และวัฒนธรรมที่เป็นมิตร โดยอาจร่วมมือกับที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯ ชั้นนำระดับโลก
ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและบริการ: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่งมวลชน ระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และบริการสาธารณะต่างๆ ให้มีคุณภาพมาตรฐานสากล เพื่อรองรับการเข้ามาของชาวต่างชาติ และสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิต
จัดการปัญหาที่มีอยู่: สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ปัจจุบันมีทั้งที่ถูกและไม่ถูกต้องในลักษณะนอมินีให้เข้ามาอยู่ในระบบที่โปร่งใส ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีและควบคุมได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในจังหวัดภูเก็ต พัทยา หรือบางพื้นที่ในกรุงเทพฯ และลงทุนอสังหาฯ เชียงใหม่ ที่มีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อคอนโดพัทยาและบ้านหรูในกรุงเทพฯ ผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการเป็นจำนวนมาก หากเราสามารถทำให้การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ถูกกฎหมายได้ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล
การอนุโลมให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ไม่ใช่แค่การขายบ้าน แต่คือการเปิดประตูสู่การพัฒนาประเทศในหลากหลายมิติ จากการประมาณการ มูลค่าการขายบ้านให้ต่างชาติ 10,000 หลัง อาจเพิ่ม GDP ได้ถึง 0.75% แต่หากเราสามารถเพิ่มเป็น 100,000 หลัง ซึ่งเป็นไปได้ในระยะยาว ภาคอสังหาริมทรัพย์จะช่วยเพิ่ม GDP ของ เศรษฐกิจไทย ได้ถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลและสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง
ก้าวต่อไปเพื่อเศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในตลาด อสังหาริมทรัพย์ มาอย่างยาวนาน ผมขอย้ำว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะรีรอหรือหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ของ เศรษฐกิจไทย ในปัจจุบันชี้ชัดว่าเราไม่สามารถเดินในเส้นทางเดิมได้อีกต่อไป การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้พึ่งพาภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยดึงกำลังซื้อจากต่างประเทศเข้ามาอย่างมีวิสัยทัศน์และรอบคอบ คือหนึ่งในทางออกที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุด ที่จะช่วยให้ เศรษฐกิจไทย หลุดพ้นจากกับดักที่กำลังเผชิญอยู่ และก้าวไปสู่การเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
ผมขอเชิญชวนให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางนี้อย่างจริงจัง และร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของ เศรษฐกิจไทย ในปี 2025 และปีต่อๆ ไป มาร่วมกันสร้างโอกาสทองอสังหาฯ นี้ให้เป็นจริงเพื่อประเทศไทยของเรา!

