• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D1912125 กค าต วด องเปล ยนส ผมซะให เข part2

admin79 by admin79
December 20, 2025
in Uncategorized
0
D1912125 กค าต วด องเปล ยนส ผมซะให เข part2

ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย: เข็มทิศใหม่นำพาเศรษฐกิจสู่ทศวรรษแห่งความรุ่งเรือง (อัปเดต 2025)

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมเฝ้ามองพลวัตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วยความเข้าใจอันลึกซึ้งและบางครั้งก็ด้วยความกังวลอย่างยิ่งยวด คำถามที่ผุดขึ้นในใจของนักลงทุน ผู้ประกอบการ และแม้แต่ประชาชนทั่วไปคือ “เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับทางตันหรือไม่ และเราจะหาทางออกไปได้อย่างไร?” สถานการณ์ปัจจุบันชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการพึ่งพากลไกแบบเดิม ๆ อาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป แต่ถึงกระนั้น ผมยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพอันมหาศาลของประเทศ และมองเห็น “ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย” เป็นกุญแจสำคัญที่จะพลิกฟื้นและขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอีกทศวรรษข้างหน้า นี่ไม่ใช่แค่การมองโลกในแง่ดี แต่เป็นการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ที่หยั่งรากลึกในประสบการณ์ตลาดจริงและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์เศรษฐกิจไทย: ทางแยกที่ต้องเลือกอย่างเด็ดขาด

โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน และประเทศไทยกำลังเผชิญกับพายุเศรษฐกิจที่ถาโถมจากหลายทิศทาง คำเตือนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่บ่งชี้ว่าไทยกำลังติดกับดัก “ทศวรรษที่สาบสูญ” ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เราเห็นสัญญาณชัดเจนจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่ไร้ทิศทาง การฟื้นตัวที่เชื่องช้า และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่กัดกร่อนความเชื่อมั่น

ในอดีต สัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และการส่งออกเป็นหลัก โดยเฉพาะการลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ทว่าภูมิทัศน์นี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างมหาอำนาจ นำไปสู่การเคลื่อนย้ายฐานการผลิตและการบิดเบือนกลไกตลาดโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สินค้าจากจีนที่ถูกผลกระทบจากเทรดวอร์ไหลบ่าเข้ามาในภูมิภาค ทำให้ไทยต้องรับผลกระทบโดยตรงจากการแข่งขันที่ดุเดือด

ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อ 10 ปีก่อน หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ประมาณ 40% ของ GDP แต่ปัจจุบันกลับพุ่งสูงขึ้นเป็น 90% กว่า ซึ่งหมายถึงการดึงเงินในอนาคตมาใช้ การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินเพิ่มเติมจึงอาจเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่การสร้างการเติบโตที่แท้จริงและยั่งยืนในระยะยาว

นอกจากนี้ โครงสร้างประชากรไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีผลิตภาพในอนาคต แรงงานที่ลดลงหมายถึงกำลังการผลิตที่ลดลง และภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจก็ยังคงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง และสร้างความเปราะบางให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวม

แม้ว่าประเทศไทยจะพยายามปรับตัวสู่การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่เราก็ยังเผชิญกับความท้าทายด้านเทคโนโลยี ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากยังไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนป้อนอุตสาหกรรม EV ได้อย่างเต็มศักยภาพ ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศได้อย่างที่ควรจะเป็น การส่งออกสินค้าอื่น ๆ ที่เคยเป็นแชมป์ในอดีตก็เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงและสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปให้กับประเทศคู่แข่ง เช่นเดียวกับความเสี่ยงจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ล้วนเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมสถานการณ์ให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น

การท่องเที่ยวที่เคยเป็นความหวังในการสร้างรายได้หลักก็ยังคงน่าเป็นห่วง แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเริ่มฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิด-19 แต่การจะกลับไปสู่จุดสูงสุดในปี 2562 ที่เคยสร้างรายได้มหาศาลดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังเร่งพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยว

ด้วยบริบทเหล่านี้ การเติบโตแบบเดิมจึงเป็นไปได้ยาก นี่คือทางแยกที่เราต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะก้าวไปในทิศทางใด

ถึงเวลาปรับโครงสร้าง: ทำไมเราถึงไปต่อแบบเดิมไม่ได้?

เมื่อมองย้อนกลับไปในโครงสร้าง GDP ของไทย เราพบว่าการบริโภคภาคเอกชนมีสัดส่วนประมาณ 57.7% การลงทุนภาคเอกชน 17.3% การใช้จ่ายภาครัฐ 22.2% และที่น่าสนใจคือ การส่งออกสินค้าและบริการสูงถึง 65.4% ในขณะที่การนำเข้าก็อยู่ที่ 63.7% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเราพึ่งพาการค้าต่างประเทศอย่างมหาศาล แต่คำถามคือ “ไทยได้รับประโยชน์จากมูลค่าการส่งออกเหล่านั้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแค่ไหน?” ในแง่ของโครงสร้างการผลิต ภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนเพียง 8.4% ภาคอุตสาหกรรม 39.2% และภาคบริการ 52% การพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมหนักและภาคบริการที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มสูงนัก อาจไม่เพียงพอที่จะสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว

การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน เราไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยโมเดลเดิม ๆ ที่เคยใช้เมื่อ 20-30 ปีก่อนได้อีกต่อไป หลายประเทศทั่วโลกก็เคยเผชิญหน้ากับความท้าทายคล้ายคลึงกัน และได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

สิงคโปร์: จากประเทศที่เคยพึ่งพาภาคอุตสาหกรรม ได้เปลี่ยนผ่านสู่ภาคบริการและเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างน่าทึ่ง ปัจจุบันภาคบริการมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GDP โดยเน้นไปที่การเงิน ธนาคาร เทคโนโลยี นวัตกรรม และการศึกษา ซึ่งสร้างรายได้จากต่างประเทศมหาศาล สิงคโปร์ไม่ได้ขายสินค้า แต่ขายความรู้ บริการ และโอกาสในการลงทุน
เกาหลีใต้: จากอุตสาหกรรมหนัก ได้หันมาเน้นเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, ซีรีส์) และภาคบริการอื่น ๆ ซึ่งมีส่วนแบ่ง 10% ของ GDP เป็นส่วนที่สร้างมูลค่าเพิ่มและ Soft Power ให้กับประเทศอย่างมหาศาล
ฮ่องกง: จากฐานการผลิตสิ่งทอในอดีต ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการ และแน่นอนว่า “อสังหาริมทรัพย์” คือกลไกสำคัญในการดึงดูดเงินทุนและผู้คนจากทั่วโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): เคยพึ่งพารายได้จากการขายน้ํามันเป็นหลัก แต่ตระหนักดีว่าทรัพยากรมีจำกัด ปัจจุบันรายได้จากน้ํามันเหลือไม่ถึง 30% ของ GDP โดยหันไปเน้นการท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการระดับโลก และการส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (Meetings, Incentives, Conferences, Exhibitions) ซึ่งต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมเป็นหัวใจสำคัญ
อังกฤษ: จากผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรม ได้เปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจภาคบริการที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เทคโนโลยี และนวัตกรรมของยุโรป

บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้หมายถึงการทิ้งอุตสาหกรรมเดิมทั้งหมด แต่เป็นการ “สร้างสมดุลใหม่” และ “สร้างโอกาสใหม่” โดยการมองหาจุดแข็งของตนเองและปรับใช้ให้เข้ากับกระแสโลก ประเทศไทยมีข้อดีมากมายที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก (จากข้อมูลปี 2024) โรงพยาบาลชั้นนำติดอันดับโลก ระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ วัฒนธรรมที่งดงาม อาหารอร่อย ผู้คนเป็นมิตร และสภาพอากาศที่ดี สิ่งเหล่านี้คือทุนทางสังคมและวัฒนธรรมที่เราสามารถนำมาต่อยอดได้ หากเราเปลี่ยนจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการแบบเดิม ไปสู่ภาคบริการ-ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย: ขุมทรัพย์ที่ถูกมองข้าม

ผมขอย้ำว่า “ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย” คือขุมทรัพย์ที่ถูกมองข้ามมานาน เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่เรายังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สิ่งที่เราต้องการคือกลไกที่จะดึงดูดกำลังซื้อจากต่างประเทศเข้ามาในระบบเศรษฐกิจของเรา และอสังหาริมทรัพย์คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะประเทศไทยมีจุดแข็งที่ดึงดูดชาวต่างชาติอย่างไม่มีใครเทียบได้:
คุณภาพชีวิตและค่าครองชีพที่เหมาะสม: ชาวต่างชาติจำนวนมากมองว่าประเทศไทยมอบสมดุลชีวิตที่ดีเยี่ยม ทั้งในด้านความสะดวกสบาย บริการ และค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก
วัฒนธรรมและอาหารที่เป็นเลิศ: อาหารไทยได้รับการยอมรับระดับโลก วัฒนธรรมไทยมีเสน่ห์ดึงดูดใจ และคนไทยมีอัธยาศัยดีเป็นที่ประจักษ์
ระบบสาธารณสุขและโรงพยาบาลระดับโลก: หลายโรงพยาบาลของไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก และค่ารักษาพยาบาลโดยรวมก็ถูกกว่าหลายประเทศพัฒนาแล้ว
สภาพภูมิอากาศและแหล่งท่องเที่ยว: ประเทศไทยมีภูมิประเทศที่สวยงามหลากหลาย ตั้งแต่ชายหาดทะเลใต้ ไปจนถึงภูเขาทางภาคเหนือ เหมาะแก่การพักผ่อนและอยู่อาศัยระยะยาว
ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังเข้าถึงได้: เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในต่างประเทศ อสังหาริมทรัพย์ในเมืองท่องเที่ยวหลักของไทย เช่น คอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ อสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต หรืออสังหาริมทรัพย์พัทยา ยังคงมีราคาที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต ทำให้เป็นโอกาสทองสำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์

บทเรียนจากนานาชาติ: 5 ประเทศที่ใช้อสังหาริมทรัพย์กระตุ้นเศรษฐกิจ

ในอดีต หลายประเทศที่เผชิญกับกำลังซื้อภายในประเทศที่ลดลง หนี้ครัวเรือนสูง และรายได้ไม่เติบโต ได้พลิกวิกฤตโดยการใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือในการดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์และใช้จ่ายในประเทศ นี่คือ 5 ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ:

โปรตุเกส (Golden Visa Program 2012): หลังวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป โปรตุเกสได้ริเริ่มโครงการ Golden Visa โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่าตั้งแต่ 500,000 ยูโรขึ้นไป ได้รับสิทธิพำนักในประเทศ ผลลัพธ์คือเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ากว่า 7 พันล้านยูโร ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาคึกคัก และราคาบ้านฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือกลยุทธ์การลงทุนที่เห็นผลชัดเจน
สเปน (Residency by Investment Program 2008): คล้ายกับโปรตุเกส สเปนเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซาหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 โครงการนี้ดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลางเป็นจำนวนมาก และมีส่วนช่วยให้ GDP ของสเปนฟื้นตัวถึง 3% ภายใน 5 ปี ถือเป็นทางออกสำคัญในการบริหารความมั่งคั่งของประเทศ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Freehold Property): UAE อนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถซื้อบ้านและที่ดินแบบ Freehold ได้ (ถือครองกรรมสิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์) นโยบายนี้ดึงดูดนักลงทุนและผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยระยะยาวเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของ GDP จนดูไบกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก อสังหาริมทรัพย์หรูในดูไบจึงเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง
กรีซ (Greece Golden Visa): เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรป กรีซเสนอ Golden Visa ให้กับชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่าตั้งแต่ 250,000 ยูโรขึ้นไป ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรีซเติบโตถึง 60% ภายใน 10 ปี เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้วีซ่านักลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
มาเลเซีย (Malaysia My Second Home – MM2H): โครงการนี้เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาพำนักระยะยาวในมาเลเซีย ซึ่งกระตุ้นตลาดบ้านและดึงดูดผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่นเป็นหลัก โครงการ MM2H แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการดึงดูดกลุ่มผู้มีกำลังซื้อที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

ข้อกังวลเรื่องการถือครองที่ดินของต่างชาติ: ความจริงที่เราต้องทำความเข้าใจ

ผมเข้าใจดีว่าหลายคนอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับการให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เกรงว่าที่ดินของประเทศจะถูกยึดครอง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางสถิติและข้อเท็จจริงชี้ให้เห็นว่าความกังวลนี้อาจจะเกินจริงไปบ้าง

ประเทศไทยมีที่ดินรวมประมาณ 321 ล้านไร่ ในจำนวนนี้มีเอกสารสิทธิ์ประมาณ 127 ล้านไร่ (คิดเป็น 40%) หากลองพิจารณาว่าใน 1 ปี เราอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านไปกว่า 2 แสนหลัง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรในโครงการ การใช้ที่ดินสำหรับธุรกรรมเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่ไทยมีอยู่ด้วยซ้ำ

ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศประมาณ 392,858 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 1.06 ล้านล้านบาท หากเราสามารถขายให้กับชาวต่างชาติได้ 1 ใน 4 ของจำนวนนี้ จะสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจได้ถึง 2.5 แสนล้านบาท นี่คือเม็ดเงินมหาศาลที่จะเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจโดยตรง และเป็นโอกาสลงทุนที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในประเทศไทยจึงเป็นที่น่าจับตา

จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้มีการผลักดันนโยบายดึงดูดกลุ่มผู้มีรายได้สูง (High-Net-Worth Individuals) เข้ามาพำนักในไทย แต่ในความเป็นจริง กลุ่มชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาอยู่อาศัยในไทยเป็นหลักคือกลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูง (Middle-to-High Income) ที่มีกำลังซื้อบ้านในระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่และยั่งยืนกว่ากลุ่มมหาเศรษฐีเพียงอย่างเดียว

ก้าวต่อไปของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย: กลยุทธ์และผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าคิดนอกกรอบและยอมรับการเปลี่ยนแปลง โอกาสทางเศรษฐกิจในการอนุโลมให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ไม่ใช่แค่การขายบ้าน แต่คือการจุดชนวนให้เกิดการเติบโตอย่างเป็นลูกโซ่ และนี่คือกลยุทธ์ที่ผมเสนอแนะและผลลัพธ์ที่จะตามมา:

นโยบายส่งเสริมการถือครองอสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติ:
ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ: ลดความซับซ้อนของขั้นตอนการซื้อขายและการโอนกรรมสิทธิ์สำหรับชาวต่างชาติ ให้มีความโปร่งใสและรวดเร็วยิ่งขึ้น
พิจารณา Golden Visa หรือ Investor Visa (วีซ่านักลงทุน) สไตล์ไทย: สร้างแรงจูงใจด้วยการให้สิทธิพำนักระยะยาว หรือแม้กระทั่งสัญชาติ (ภายใต้เงื่อนไขที่รัดกุม) สำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในมูลค่าที่กำหนดไว้สูงพอสมควร เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงและนักลงทุนที่จริงจัง
กำหนดโซนหรือประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่อนุญาต: อาจเริ่มต้นด้วยคอนโดมิเนียม หรือบ้านในโครงการจัดสรรที่กำหนดในพื้นที่ที่รัฐต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น อสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต อสังหาริมทรัพย์พัทยา เชียงใหม่ หัวหิน หรือในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อควบคุมและทดลองผลกระทบ
มาตรการภาษีจูงใจ: พิจารณาการลดหย่อนภาษีบางประเภทสำหรับชาวต่างชาติที่ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระยะยาว เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน

การพัฒนาและส่งเสริมอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง:
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักผ่อน (Vacation Homes): ส่งเสริมการพัฒนาบ้านพักตากอากาศและวิลล่าหรู (อสังหาริมทรัพย์หรู) ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้เกษียณอายุและกลุ่ม Digital Nomads ที่ต้องการ Work-Life Balance
อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ (Wellness Residences): ผนวกจุดแข็งด้านการแพทย์และสปาของไทยเข้ากับโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่ต้องการดูแลสุขภาพในระยะยาว
โครงการแบบผสมผสาน (Mixed-Use Developments): พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ร้านค้า สำนักงาน และพื้นที่ไลฟ์สไตล์ในที่เดียว เพื่อความสะดวกสบายและดึงดูดกำลังซื้อ

ผลลัพธ์ที่จะตามมา:

กระตุ้นยอดขายอสังหาริมทรัพย์: ยอดขายบ้านและคอนโดมิเนียมจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์
ธุรกิจเกี่ยวเนื่องเติบโต: ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง การตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ และบริการที่เกี่ยวข้องจะได้รับอานิสงส์อย่างมหาศาล
การจ้างงานเพิ่มขึ้น: ทั้งทางตรง (ภาคก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์) และทางอ้อม (บริการ การท่องเที่ยว ธุรกิจท้องถิ่น) ซึ่งช่วยแก้ไขปัญหาการว่างงานในบางภาคส่วน
การบริโภคในท้องถิ่นคึกคัก: ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยจะจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้าและบริการในชีวิตประจำวัน ซึ่งสร้างรายได้ให้กับร้านค้า ร้านอาหาร และชุมชนท้องถิ่น
ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): เมื่อเห็นว่าไทยมีนโยบายที่เป็นมิตรต่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุนรายใหญ่จะมองเห็นโอกาสในการลงทุนในภาคส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติม
เพิ่ม GDP อย่างมีนัยสำคัญ: จากข้อมูลที่เคยมีการศึกษา การขายบ้าน 10,000 หลังให้กับชาวต่างชาติ อาจทำให้ GDP เพิ่มขึ้น 0.75% แต่หากเราสามารถเพิ่มเป็น 100,000 หลังได้ (ซึ่งไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน หากดูจากความต้องการและศักยภาพ) GDP ของประเทศอาจเติบโตได้ถึง 7% นี่คือกลยุทธ์การลงทุนที่แท้จริง
ยกระดับคุณภาพชีวิตและมาตรฐานการบริการ: การแข่งขันเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติจะส่งผลให้ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการและบริการที่มีคุณภาพสูงขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์อสังหาริมทรัพย์ 2025 ที่เน้นความยั่งยืน เทคโนโลยี และ Wellness Living
สร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ: ลดการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมหนักและการส่งออกเดิม ๆ สร้างเสถียรภาพให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

ในความเป็นจริง แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีนโยบายที่เปิดกว้างอย่างเต็มที่ แต่มีการขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับชาวต่างชาติ ทั้งในรูปแบบที่ถูกต้องตามกฎหมายและแบบ Nominee เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ตและพัทยา ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นี่แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงจากตลาดต่างประเทศ แต่การทำในรูปแบบที่ไม่ชัดเจนหรือไม่ถูกกฎหมายกลับทำให้ประเทศพลาดโอกาสในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นภาษีหรือการควบคุมคุณภาพ

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมาทบทวนอย่างจริงจังว่า “ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย” ไม่ใช่แค่ปัจจัยเสริม แต่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในอนาคต การเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมแบบเดิม มาสู่การใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นกลไกหลักในการสร้างกำลังซื้อจากต่างประเทศ จะเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับเศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้า

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการ ผมเชื่อมั่นว่านี่คือหนทางหนึ่งที่สำคัญและเป็นไปได้จริงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นโอกาสทองที่เราไม่ควรมองข้าม หากท่านสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนการเงินและกลยุทธ์การลงทุนในยุค 2025 เพื่อบริหารความมั่งคั่งอย่างมีประสิทธิภาพ กรุณาติดต่อทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราได้แล้ววันนี้ เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่สดใสให้กับทั้งท่านและเศรษฐกิจไทยของเรา.

Previous Post

D1912124 ดกะเพราเส นข นเทพ รสชาต หร อม ของสมนาค part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D1912125 กค าต วด องเปล ยนส ผมซะให เข part2
  • D1912124 ดกะเพราเส นข นเทพ รสชาต หร อม ของสมนาค part2
  • D1912123 คนเก บของเก าคนน แหละ จะทำให เราได งาน าน part2
  • D1912122 นหร อย แพง คนเป นเพ อนเขาทำก นแบบน เหรอ part2
  • D1912121 บะหม บาท กำไรแทบจะไม แต กล าด มาซ อโรงแรมหร part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.