อนาคตเศรษฐกิจไทย: เมื่ออสังหาริมทรัพย์คือเข็มทิศนำทางสู่ความมั่งคั่งยั่งยืน
ในฐานะที่คลุกคลีอยู่ในวงการพัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นถึงวัฏจักรของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมากมาย ทั้งช่วงรุ่งโรจน์และความท้าทายที่ถาโถมเข้ามา แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่คำถามเกี่ยวกับ “อนาคตของเศรษฐกิจไทย” จะหนักอึ้งและเร่งด่วนเท่าในปัจจุบัน ปี 2568 นี้ เรากำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ที่ไม่สามารถเดินตามรอยเท้าเดิมๆ ได้อีกต่อไป หากปราศจากการปรับกลยุทธ์ที่กล้าหาญและมองการณ์ไกล ประเทศไทยอาจเผชิญกับทศวรรษที่สาบสูญอย่างแท้จริง การพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมหนักและการส่งออกที่เคยเป็นเสาหลัก ดูเหมือนจะหมดพลังในการขับเคลื่อนไปเสียแล้ว ทว่าท่ามกลางเมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอนนี้ ผมกลับมองเห็นแสงสว่าง ณ จุดที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นคือ “ภาคอสังหาริมทรัพย์” ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของ เศรษฐกิจไทย ให้พ้นจากวิกฤตและกลับมาผงาดอีกครั้ง
เสียงเตือนที่ไม่อาจเมินเฉย: วิกฤตการณ์เชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย
เราต้องยอมรับความจริงที่ว่า เศรษฐกิจไทย กำลังเผชิญกับมรสุมรอบด้าน ไม่ใช่แค่ความผันผวนชั่วคราว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึก จากรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน สะท้อนภาพที่ชัดเจนว่าเรากำลังติดกับดัก “ทศวรรษที่สาบสูญ” ที่รุนแรงกว่าเดิม
ประการแรก “สงครามการค้า” ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างมหาอำนาจ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และกระทบภาคการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อประเทศคู่ค้าหลักอย่างจีนเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและต้องรับมือกับแรงกดดันจากการกีดกันทางการค้า สินค้าที่เคยส่งไปจีนจำนวนมากก็ถูกเบี่ยงทิศทางมายังตลาดใกล้บ้าน รวมถึงประเทศไทย ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงและราคาตกต่ำ นี่คือปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมได้ยาก แต่ต้องปรับตัวรับมือ
ประการที่สอง ปัญหาภายในที่กัดกร่อนกำลังซื้ออย่างเงียบๆ คือ “หนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ จากเดิมที่เคยอยู่ในระดับ 40% ของ GDP เมื่อสิบกว่าปีก่อน ปัจจุบันกลับทะยานเกิน 90% และมีแนวโน้มจะแตะระดับ 100% ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการใช้จ่ายเงินในอนาคต การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ยิ่งเป็นการสร้างภาระหนี้ระยะยาว และบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนในระยะยาว ทำให้การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ โครงสร้าง GDP แทบจะไร้เรี่ยวแรงในการขับเคลื่อน นี่คืออุปสรรคใหญ่หลวงที่ฉุดรั้ง การเติบโตทางเศรษฐกิจ ของไทย
นอกจากนี้ เรายังเผชิญกับ “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร” ที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จำนวนแรงงานในอนาคตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกระทบต่อศักยภาพในการผลิตและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม ความเหลื่อมล้ำทางสังคมก็ยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากยิ่ง
ในด้านอุตสาหกรรม แม้เราจะพยายามผลักดัน “อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)” แต่ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและขีดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศ ทำให้เรายังคงเป็นเพียงฐานการผลิตประกอบ ไม่ใช่ฐานการวิจัยและพัฒนาที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้เต็มที่ การพึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์และการส่งออกสินค้าเกษตรแบบเดิมๆ จึงไม่สามารถตอบโจทย์การแข่งขันในยุคปัจจุบันได้อีกต่อไป ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเคยเป็นความหวังสำคัญในการสร้างรายได้ ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและจุดหมายปลายทาง การพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวจึงไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน
ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า เศรษฐกิจไทย ไม่ได้แค่ป่วยไข้ แต่กำลังต้องการการผ่าตัดใหญ่ทางโครงสร้าง
พลิกโฉมโครงสร้าง GDP: บทเรียนจากประเทศที่ก้าวข้ามวิกฤต
จากประสบการณ์กว่าทศวรรษในการศึกษาและวิเคราะห์เศรษฐกิจ ผมเชื่อว่ากุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของ เศรษฐกิจไทย คือการทบทวนและปรับเปลี่ยน “โครงสร้าง GDP” ของเราอย่างจริงจัง จากเดิมที่เราพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกมากเกินไป ถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันมามองภาคบริการและ “ภาคอสังหาริมทรัพย์” ในมิติใหม่
ลองพิจารณาตัวอย่างจากประเทศที่เคยเผชิญความท้าทายคล้ายคลึงกัน แต่สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้สำเร็จ:
สิงคโปร์: เคยพึ่งพาภาคอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันกว่า 70% ของ GDP มาจากภาคบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการเงิน ธนาคาร เทคโนโลยี และ “ดิจิทัลอีโคโนมี” กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและนวัตกรรมระดับโลก
เกาหลีใต้: จากที่เน้นอุตสาหกรรมหนัก ก็เปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี อุตสาหกรรมบันเทิง (K-pop, ซีรีส์เกาหลี) และภาคบริการ ซึ่งสร้างรายได้มหาศาล
ฮ่องกง: จากฐานการผลิตโรงงานสิ่งทอ ก็ผันตัวเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการ และ “ภาคอสังหาริมทรัพย์” ที่มีมูลค่าสูง
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): จากประเทศที่พึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเป็นหลัก ปัจจุบันน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 30% ของ GDP พวกเขาเปลี่ยนไปสู่การท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการ การจัดประชุมสัมมนาและนิทรรศการ (MICE) และ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ระดับโลก
สหราชอาณาจักร: จากผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรม ก็เปลี่ยนไปสู่ภาคบริการที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีที่สำคัญของยุโรป
บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น เมื่อวิธีการเดิมๆ ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป การกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงคือหนทางเดียวสู่ความยั่งยืน และประเทศไทยเองก็มีศักยภาพที่โดดเด่นไม่แพ้กัน เรามีจุดแข็งที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นมิตรของผู้คน อาหารไทยที่เลื่องชื่อ สภาพอากาศที่อบอุ่น การบริการที่เป็นเลิศ ระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพและเข้าถึงง่าย รวมถึงค่าครองชีพที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก สิ่งเหล่านี้คือต้นทุนทางสังคมและวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่เราสามารถนำมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มได้
ปลุกพลังภาคอสังหาริมทรัพย์: จุดคานงัดใหม่สำหรับเศรษฐกิจไทย
ในสถานการณ์ที่กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแอ และการส่งออกเผชิญข้อจำกัด การดึง “กำลังซื้อต่างชาติ” เข้ามามีบทบาทในภาคเศรษฐกิจจึงเป็นกลยุทธ์ที่เฉลียวฉลาด และ “ภาคอสังหาริมทรัพย์” คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการทำเช่นนั้น จากประสบการณ์ในการให้ “บริการที่ปรึกษาการลงทุน” มาหลายปี ผมเห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลของตลาดนี้
หลายประเทศที่เคยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจก็ใช้วิธีการนี้เพื่อฟื้นฟูประเทศสำเร็จ:
โปรตุเกส: หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ได้ออกโครงการ Golden Visa ในปี 2012 อนุญาตให้ “นักลงทุนต่างชาติ” ซื้ออสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิพำนัก ทำให้เงินลงทุนกว่า 7 พันล้านยูโรหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศ กระตุ้น “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” และทำให้ราคาบ้านฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
สเปน: ก็มีโครงการ Residency by Investment คล้ายกัน หลังวิกฤตปี 2008 เปิดโอกาสให้ต่างชาติ “ลงทุนคอนโด” หรือบ้านมูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป ช่วยฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา และทำให้ GDP เติบโต 3% ภายใน 5 ปี โดยเฉพาะดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
กรีซ: หลังจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป ก็ใช้โครงการ Greece Golden Visa โดยให้ชาวต่างชาติ “ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์” มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับวีซ่าพำนัก ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตกว่า 60% ภายใน 10 ปี
มาเลเซีย: มีโครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) ดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาพำนักระยะยาว กระตุ้นตลาดบ้านและที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น ที่มองหาการ “ลงทุนระยะยาว”
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): ด้วยนโยบาย Freehold Property ที่อนุญาตให้ต่างชาติ “ถือครองกรรมสิทธิ์ต่างชาติ” ในอสังหาริมทรัพย์ได้ ทำให้ดึงดูด “นักลงทุนต่างชาติ” รายใหญ่เข้ามามหาศาล จนภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็นกว่า 50% ของ GDP กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก
ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบที่สำคัญคือ อสังหาริมทรัพย์ยังคงมี “ราคาประเมินที่ดิน” และราคาขายที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับหลายประเทศที่กล่าวมา ชาวต่างชาติจำนวนมากต้องการเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย เพราะคุณภาพชีวิตที่ดี ค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล ระบบอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง และสังคมที่เปี่ยมด้วยมิตรไมตรี
ความกังวลที่ว่า “ที่ดิน” ของไทยจะถูกต่างชาติยึดครองนั้น ผมมองว่าเป็นความกังวลที่เกินจริง ประเทศไทยมีที่ดินรวมกว่า 321 ล้านไร่ โดยมีเอกสารสิทธิ์ราว 127 ล้านไร่ (40%) หากเราสามารถขายที่อยู่อาศัยให้ต่างชาติได้ปีละ 200,000 หลังคาเรือน (ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก) ก็ยังคิดเป็นสัดส่วนของที่ดินไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่เรามีอยู่ด้วยซ้ำ
จากสถิติปี 2565 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีจำนวน 392,858 หน่วย มูลค่ากว่า 1.065 ล้านล้านบาท หากเราสามารถดึง “กำลังซื้อต่างชาติ” ให้เข้ามาซื้อได้เพียง 1 ใน 4 ของจำนวนนี้ ก็จะสร้างมูลค่าเพิ่มมหาศาลถึง 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ “ผลตอบแทนการลงทุน” ของผู้ประกอบการดีขึ้น และเม็ดเงินนี้จะไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
กลุ่มเป้าหมายไม่ใช่แค่กลุ่มอภิมหาเศรษฐี แต่คือกลุ่มคนต่างชาติที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง ที่มีกำลัง “ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์” ในระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่เข้าถึงได้และเป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงอย่าง “ภูเก็ต” “พัทยา” “ชลบุรี” และ “ระยอง” ที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและบริการรองรับอยู่แล้ว
การส่งเสริมให้ต่างชาติ “ลงทุนคอนโด” “บ้านหรู” หรือ “วิลล่า” ในไทย ไม่เพียงแต่สร้างรายได้โดยตรงจากการขายเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อเนื่อง:
กระตุ้นธุรกิจต่อเนื่อง: ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และการตกแต่งภายใน จะได้รับอานิสงส์
สร้างการจ้างงาน: ทั้งในภาคการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และภาคบริการที่เกี่ยวข้องโดยตรงและทางอ้อม
เพิ่มการบริโภคในท้องถิ่น: ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยจะจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้าและบริการในท้องถิ่น ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหาร ร้านค้า และสถานบริการต่างๆ มีรายได้เพิ่มขึ้น
เพิ่มภาษีและรายได้รัฐ: จากการ “ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์” และการใช้จ่ายในประเทศ รวมถึง “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ในอนาคต
การ “พัฒนาโครงการอสังหาฯ” ที่ตอบโจทย์ความต้องการของชาวต่างชาติจึงเป็นหัวใจสำคัญ โดยเน้นไปที่ทำเลที่มีศักยภาพ การออกแบบที่ทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพ
พิมพ์เขียวสู่การปฏิบัติ: นโยบายและแนวทางเพื่อเศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน
เพื่อปลดล็อกศักยภาพของ “ภาคอสังหาริมทรัพย์” และใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อน “เศรษฐกิจไทย” อย่างเต็มรูปแบบ ผมขอเสนอแนวทางและ “นโยบายเศรษฐกิจ” ที่สำคัญดังนี้:
ทบทวนและผ่อนคลายกฎเกณฑ์การถือครองกรรมสิทธิ์ของต่างชาติ:
พิจารณาการให้สิทธิ์ Freehold ในบางพื้นที่: โดยเฉพาะในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ หรือพื้นที่ที่กำหนด เช่น ภูเก็ต พัทยา ชลบุรี ระยอง เพื่อดึงดูด “นักลงทุนต่างชาติ” และผู้เกษียณอายุ
ขยายระยะเวลาการเช่าระยะยาว (Leasehold): จาก 30 ปี เป็น 50 หรือ 99 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจในการ “ลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ระยะยาว
เพิ่มสัดส่วนการถือครองคอนโดมิเนียมของต่างชาติ: อาจพิจารณาจาก 49% เป็น 75% ในบางโครงการหรือบางพื้นที่ที่มีความต้องการสูง
เปิดตัวโครงการ Golden Visa หรือ Residency by Investment: โดยมีเงื่อนไขการ “ลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ขั้นต่ำ เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้มีฐานะและผู้เชี่ยวชาญ
อำนวยความสะดวกและสร้างความโปร่งใส:
ลดขั้นตอนและระยะเวลาการขออนุญาต: สำหรับการ “ลงทุนต่างชาติ” และการขอวีซ่าพำนัก
สร้างแพลตฟอร์มข้อมูลอสังหาริมทรัพย์สำหรับต่างชาติ: ที่เข้าใจง่าย โปร่งใส และมีมาตรฐาน
กำหนดมาตรการภาษีที่จูงใจ: สำหรับ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ของต่างชาติ รวมถึงการลดหย่อนภาษีบางประเภท
ส่งเสริม “การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” ที่ตอบโจทย์:
สนับสนุนการพัฒนาโครงการคุณภาพสูง: ทั้ง “คอนโดหรู” “บ้านหรู” และ “วิลล่า” ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบรับไลฟ์สไตล์ของชาวต่างชาติ
เน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงสุขภาพและเวลเนส: ซึ่งเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้เกษียณอายุและนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ส่งเสริมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: เพื่อดึงดูด “นักลงทุนต่างชาติ” ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
พัฒนา “โครงสร้างพื้นฐาน” และเชื่อมโยงบริการ:
ลงทุนในโครงข่ายคมนาคมและสาธารณูปโภค: เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองและการขยายตัวของ “ภาคอสังหาริมทรัพย์”
สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน: เพื่อส่งเสริมการตลาดและดึงดูด “นักลงทุนต่างชาติ”
สนับสนุน “ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์” ไทย: ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ผมขอย้ำว่าการผลักดันแนวทางนี้ จะเป็นมากกว่าแค่การ “ขายบ้าน” แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจใหม่ ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ที่ยั่งยืนให้กับประเทศ ตัวอย่างเช่น การขายบ้านให้ต่างชาติ 100,000 หลังคาเรือน อาจช่วยกระตุ้น GDP ได้ถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลเมื่อเทียบกับภาวะปัจจุบัน
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและไม่ยึดติดกับกรอบความคิดเดิมๆ เศรษฐกิจไทย ไม่สามารถรอได้อีกต่อไป ภาคอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ แต่เป็นกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูสู่ความมั่งคั่งและโอกาสใหม่ๆ
ในฐานะผู้ที่อยู่ในวงการมานาน ผมเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และเชื่อว่าเรามีทุกอย่างพร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาอยู่อาศัย ลงทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศของเรา นี่คือทางออกที่เป็นไปได้จริงและเป็นทางรอดที่สำคัญสำหรับ เศรษฐกิจไทย ในอนาคต
ผมขอเชิญชวนทุกท่าน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน “ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์” “นักลงทุนต่างชาติ” และประชาชนคนไทย มาร่วมกันหารือและผลักดันนโยบายเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรม เพื่ออนาคตที่สดใสของ เศรษฐกิจไทย หากท่านสนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “โอกาสลงทุน” ใน “ภาคอสังหาริมทรัพย์” หรือต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเราเพื่อร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าไปด้วยกัน

