วิกฤตเศรษฐกิจไทย 2025: ภาคอสังหาริมทรัพย์ กุญแจสำคัญสู่การพลิกฟื้นและเติบโตอย่างยั่งยืน
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่า 10 ปี ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของภูมิทัศน์เศรษฐกิจมานับครั้งไม่ถ้วน แต่สถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนั้น มีความซับซ้อนและท้าทายเป็นพิเศษ ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า “เศรษฐกิจไทยถึงทางตัน โอกาสรอดอยู่ตรงไหน?” ซึ่งไม่ใช่แค่คำถามของผู้ประกอบการ แต่เป็นเสียงสะท้อนจากคนไทยทุกภาคส่วนที่ต้องการคำตอบที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม บทความนี้จะเจาะลึกถึงวิกฤตการณ์ที่เรากำลังเผชิญ และนำเสนอแนวทางที่ผมเชื่อมั่นว่าจะสามารถเป็นกุญแจสำคัญในการพลิกฟื้นและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย นั่นคือ “ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”
เผชิญหน้ากับพายุเศรษฐกิจรอบด้าน: บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2025 และปีต่อๆ ไป กำลังส่งสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงความท้าทายที่เราต้องเตรียมรับมือ ไม่ว่าจะเป็น “สงครามการค้า” ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างจีน ซึ่งได้รับผลกระทบจากเทรดวอร์โดยตรง และกำลังส่งผลกระทบลูกโซ่มายังประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รายงานจากองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IMF หรือแม้แต่สื่อชั้นนำระดับโลกอย่าง The Economist ต่างก็ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังติดอยู่ใน “กับดักทศวรรษที่สาบสูญ” ซึ่งสะท้อนผ่านการลงทุนในตลาดหุ้นที่ไร้สัญญาณฟื้นตัว นี่ไม่ใช่แค่ภาพสะท้อนปัจจุบัน แต่เป็นภาพฉายอนาคตที่เราต้องเผชิญ
ในอดีตที่ผ่านมา “เศรษฐกิจไทย” พึ่งพาการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ลงทุนโดยญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) แต่ในปัจจุบัน ภูมิทัศน์นี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเป็นเมกะเทรนด์ แต่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนป้อนอุตสาหกรรม EV ได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้เราอาจสูญเสียความได้เปรียบที่เคยมีไป นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าอื่นๆ ก็กำลังเผชิญกับคู่แข่งใหม่ๆ ที่มาแรง ทำให้ไทยเสียแชมป์ในตลาดที่เคยเป็นของเราไปอย่างน่าเสียดาย ยิ่งไปกว่านั้น ความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เข้ามาบั่นทอนความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
หนี้ครัวเรือน: อุปสรรคขนาดใหญ่ที่ฉุดรั้งการเติบโต
หากมองย้อนกลับไปในช่วง 20-30 ปีที่แล้ว “เศรษฐกิจไทย” เคยเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา การเติบโตที่เราเห็นนั้น ไม่ได้มาจากรากฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่กลับมาจากภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและน่าตกใจ เมื่อสิบปีที่แล้ว หนี้สินของไทยอยู่ที่ประมาณ 40% ของ GDP แต่ปัจจุบันตัวเลขนี้พุ่งสูงถึง 126% นี่คือผลพวงของการนำเงินในอนาคตมาใช้ ซึ่งกำลังสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ “กำลังซื้อในประเทศ” และเสถียรภาพทางการเงินของครัวเรือนไทย ผมมองว่าภาวะ “หนี้ครัวเรือนสูง” เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ “การเติบโตทางเศรษฐกิจ” ของประเทศเป็นไปได้ยากขึ้นในอนาคต
นอกจากเรื่องหนี้สินแล้ว ปัญหาโครงสร้างประชากรก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เรามองข้ามไม่ได้ ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลน “แรงงาน” ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการผลิตลดลงในอนาคตอันใกล้ และที่สำคัญที่สุดคือปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ” ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อนอื่นๆ อีกมากมาย ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ถาโถมเข้ามาและทำให้การพึ่งพาโมเดลเศรษฐกิจแบบเดิมๆ เป็นเรื่องที่ไม่ยั่งยืนอีกต่อไป
แม้รัฐบาลจะพยายามผลักดันภาคการท่องเที่ยวให้เป็นเครื่องจักรสำคัญในการสร้างรายได้ แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย แม้จะเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังห่างไกลจากช่วงก่อนโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเคยเป็นตลาดหลัก การจะกลับไปเหมือนยุคก่อนหน้านั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยปัจจัยภายในของจีนเอง และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศอื่น ๆ นี่จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าเราไม่สามารถพึ่งพิงภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งได้อีกต่อไป
ถึงเวลาต้องเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ: บทเรียนจากนานาชาติ
จากสถานการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น ผมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์และผู้สังเกตการณ์เศรษฐกิจมาอย่างยาวนาน จึงมีความเห็นอย่างแน่วแน่ว่า “เศรษฐกิจไทย” จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยน “โครงสร้าง GDP” และโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เราไม่สามารถดำรงอยู่ด้วยรูปแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป หากไม่รีบทบทวนและปรับเปลี่ยนอย่างจริงจัง
ลองพิจารณาตัวอย่างจากหลายประเทศที่เคยเผชิญกับความท้าทายคล้ายกัน และประสบความสำเร็จในการพลิกโฉมเศรษฐกิจของตนเอง:
สิงคโปร์: จากประเทศที่เคยพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก ปัจจุบันได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ “ภาคบริการ” ที่มีสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GDP โดยเน้นการสร้างรายได้จากต่างประเทศ ทั้งด้านการเงิน การธนาคาร “เทคโนโลยี” “เศรษฐกิจดิจิทัล” และ “AI” ที่สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางสำคัญ รวมถึงการศึกษา พวกเขาสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและดึงดูดบุคลากรระดับโลก
เกาหลีใต้: เดิมเน้นอุตสาหกรรมหนัก แต่ได้ปรับเปลี่ยนไปสู่ด้านเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, K-Drama) และ “ภาคบริการ” ที่แม้มีสัดส่วน 10% ของ GDP แต่ก็เป็นบริการมูลค่าสูงที่สร้างรายได้มหาศาล
ฮ่องกง: จากฐานอุตสาหกรรมโรงงานทอผ้า ได้พลิกโฉมเป็น “ศูนย์กลางทางการเงิน” และบริการระดับโลก รวมถึง “ภาคอสังหาริมทรัพย์” ที่เป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): จากการพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงไม่ถึง 30% ของ GDP ได้หันมาเน้น “การท่องเที่ยวหรูหรา” และธุรกิจบริการ ส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (การประชุม, การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล, การประชุมนานาชาติ, การจัดแสดงสินค้า) อย่างจริงจัง
อังกฤษ: อดีตผู้นำอุตสาหกรรมของโลก ปัจจุบัน “ภาคบริการ” มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยกรุงลอนดอนได้กลายเป็น “ศูนย์กลางทางการเงิน” และ “เทคโนโลยี” ที่สำคัญของยุโรป
โครงสร้าง GDP ของไทยในปัจจุบัน แบ่งเป็น การบริโภคภาคเอกชน 57.7%, การลงทุนภาคเอกชน 17.3%, การใช้จ่ายภาครัฐ 22.2%, การส่งออกสินค้าและบริการ 65.4% และการนำเข้าสินค้าและบริการ 63.7% ขณะที่โครงสร้างเศรษฐกิจด้านการผลิต ภาคเกษตรกรรม 8.4%, ภาคอุตสาหกรรม 39.2% และ “ภาคบริการ” 52% คำถามสำคัญคือ รายได้จากการส่งออกที่กล่าวมานั้น ไทยได้รับผลประโยชน์สุทธิอย่างแท้จริงเท่าไหร่ และเราสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่านี้หรือไม่?
ผมมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพและความได้เปรียบหลายด้านที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับ 1 เมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก (ปี 2024), โรงพยาบาลติดอันดับดีที่สุดในโลกถึง 5 แห่ง, อัธยาศัยไมตรีที่ดีของคนไทย และการบริการที่โดดเด่น หากเราสามารถปรับเปลี่ยนจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการแบบเดิมๆ ไปสู่ “ภาคบริการที่ผสานกับภาคอสังหาริมทรัพย์” เราจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและกำลังซื้อจากต่างประเทศได้อย่างมหาศาล
ภาคอสังหาริมทรัพย์: เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจที่พิสูจน์แล้ว
ในอดีต มีหลายประเทศที่ประสบปัญหา “กำลังซื้อภายในประเทศ” ลดลง ภาวะ “หนี้ครัวเรือนสูง” และรายได้ไม่เติบโต จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการ “ดึงชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์” และใช้จ่ายในประเทศ นี่คือแนวทางที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในหลายกรณี และเป็นสิ่งที่เราควรพิจารณาอย่างจริงจังสำหรับ “เศรษฐกิจไทย”
โปรตุเกส: ได้ริเริ่มโครงการ Golden Visa ในปี 2012 โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน” มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิพำนักถาวร ทำให้เงินทุนไหลเข้าประเทศกว่า 7 พันล้านยูโร สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ฟื้นตัว และราคาบ้านปรับสูงขึ้น
สเปน: หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ได้เปิดโครงการ Residency by Investment ให้ชาวต่างชาติลงทุนใน “อสังหาริมทรัพย์” 500,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซา ส่งผลให้ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี โดยสามารถดึงดูด “นักลงทุนต่างชาติ” จากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลางจำนวนมาก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): ด้วยโครงการ Freehold Property ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติ “ซื้อบ้านแบบ Freehold” (กรรมสิทธิ์สมบูรณ์) ได้อย่างเสรี ดึงดูด “นักลงทุนอสังหาฯ ต่างชาติ” มหาศาล จนทำให้ “อสังหาริมทรัพย์” และ “การท่องเที่ยว” คิดเป็น 50% ของ GDP และกลายเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก”
กรีซ: โครงการ Greece Golden Visa ที่ให้สิทธิพำนักแก่ชาวต่างชาติที่ “ซื้ออสังหาริมทรัพย์” มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป ทำให้ “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” เติบโตถึง 60% ภายใน 10 ปี และเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรป
มาเลเซีย: โครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติ “พำนักระยะยาว” ในมาเลเซีย ซึ่งช่วยกระตุ้นตลาดบ้านและดึงดูดผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่นอย่างได้ผล
ปลดล็อกศักยภาพ: หนุนต่างชาติซื้อบ้านในไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
จากบทเรียนความสำเร็จเหล่านี้ ผมเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามา “ถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย” ในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในบริบทที่ “เศรษฐกิจไทย” ต้องการการกระตุ้นอย่างเร่งด่วน ประเด็นที่หลายคนกังวลว่า “ที่ดินของประเทศไทย” จะถูกต่างชาติยึดครองนั้น ผมมองว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ประเทศไทยมีที่ดินรวมทั้งสิ้น 321 ล้านไร่ โดยมีเอกสารสิทธิอยู่ประมาณ 127 ล้านไร่ (40%) หากลองพิจารณาว่าใน 1 ปี เราสามารถขายบ้านให้ต่างชาติได้ 2 แสนหลัง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอสมควร ที่ดินที่เกี่ยวข้องจะคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่เรามีอยู่ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากและไม่น่ากังวลเลยแม้แต่น้อย
ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจำนวน 392,858 หน่วย คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,065,008 ล้านบาท หากเราสามารถดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามา “ซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทย” ได้เพียง 1 ใน 4 ของจำนวนนี้ จะมีมูลค่าการโอนสูงถึงประมาณ 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ทำไมชาวต่างชาติจึงต้องการมาอยู่ในประเทศไทย?
ค่าครองชีพต่ำ: เมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก
คุณภาพชีวิตที่ดี: อากาศดี อาหารอร่อยและได้รับการยอมรับระดับโลก
ระบบสาธารณสุขคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้: ดีกว่าและถูกกว่าหลายประเทศ
อสังหาริมทรัพย์ราคาไม่แพง: มีตัวเลือกหลากหลายตั้งแต่ “คอนโดกรุงเทพ” ไปจนถึง “วิลล่าภูเก็ต”
สังคมไทยเป็นมิตร: มีวัฒนธรรมที่เปิดกว้างและยินดีต้อนรับ
โครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตมีคุณภาพ: เหมาะสำหรับ “Digital Nomads” และการทำงานระยะไกล
แม้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยจะพยายามผลักดันการดึงดูดกลุ่มผู้มีรายได้สูงพิเศษ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มชาวต่างชาติที่มี “กำลังซื้อบ้าน” ในประเทศไทยจำนวนมาก คือกลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูงที่มองหาบ้านในระดับราคา 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีขนาดใหญ่และมีผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง หากเราเน้นกลุ่มนี้ เราจะเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนกว่า
ผลกระทบเชิงบวกจากการเปิดโอกาสให้ต่างชาติ: มากกว่าแค่การขายบ้าน
การผลักดันโครงการที่เอื้อให้ชาวต่างชาติ “ซื้อบ้านในประเทศไทย” จะนำมาซึ่งผลกระทบเชิงบวกหลายประการ:
การขายบ้านและอสังหาริมทรัพย์: เป็นรายได้โดยตรงเข้าสู่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์
ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง: ได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น
การจ้างงาน: ทั้งทางตรงและทางอ้อมในภาคก่อสร้าง ภาคบริการ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
การบริโภคในท้องถิ่น: ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยจะมีการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลต่อรายได้ของธุรกิจท้องถิ่นขนาดเล็กและขนาดกลางอย่างมหาศาล
ตัวอย่างเช่น มูลค่าการขายบ้าน 1 หมื่นหลัง สามารถทำให้ GDP ของประเทศเพิ่มขึ้น 0.75% แต่หากเราสามารถเพิ่มเป็น 1 แสนหลังได้ จะทำให้ GDP เพิ่มขึ้นถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งและสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางเศรษฐกิจของประเทศได้เลยทีเดียว ปัจจุบันนี้ เราเห็นการซื้อขาย “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน” โดยชาวต่างชาติทั้งในรูปแบบที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องในลักษณะของ nominee ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะใน “ภูเก็ต” และ “พัทยา” ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นี่เป็นข้อพิสูจน์ถึงความต้องการที่แท้จริงใน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ของเรา
ข้อเสนอจากผู้เชี่ยวชาญ: ถึงเวลาที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ต้องเป็นตัวขับเคลื่อน
ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องมาทบทวนอย่างจริงจังเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคอุตสาหกรรม มาพึ่งพา “ภาคอสังหาริมทรัพย์” โดยใช้ “ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ด้วยการสร้าง “กำลังซื้อจากต่างประเทศ” นี่ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นทางออกที่สำคัญในการฟื้นฟู “เศรษฐกิจไทย” ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน
เราจำเป็นต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและเอื้อต่อ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ” เช่น การปรับปรุง “กฎหมายที่ดินสำหรับต่างชาติ” การพิจารณาสิทธิ “วีซ่าพำนักถาวร” หรือโปรแกรม “Golden Visa” ของไทยที่สามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่น ๆ การส่งเสริม “อสังหาริมทรัพย์หรู” ควบคู่ไปกับอสังหาริมทรัพย์ระดับกลาง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใน “ทำเลทอง” ทั่วประเทศ และการสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางกฎหมายและเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้จะช่วยดึงดูด “การลงทุนต่างชาติในไทย” ให้เข้ามาอย่างยั่งยืน
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในวงการ ผมมองเห็นโอกาสมหาศาลที่ซ่อนอยู่ใน “อสังหาริมทรัพย์ไทย” และเชื่อมั่นว่านี่คือหนทางที่สามารถนำพา “เศรษฐกิจไทย” ไปสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืนได้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่มีทางไปแล้ว การให้ “ภาคอสังหาริมทรัพย์” เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคตจึงไม่ใช่แค่ความหวัง แต่เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง
ก้าวต่อไปกับอนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทย
หากท่านเป็นผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้ที่สนใจอนาคตของ “เศรษฐกิจไทย” และบทบาทของ “ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ผมขอเชิญชวนให้ท่านศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและร่วมกันผลักดันแนวคิดนี้ให้เป็นจริง การลงทุนใน “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน” ไม่เพียงแต่สร้างผลตอบแทนที่ดี แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างชาติ หากท่านต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการ “ลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ในประเทศไทย หรือต้องการความเข้าใจใน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ในแต่ละภูมิภาค เช่น “อสังหาริมทรัพย์ ชลบุรี” หรือ “คอนโดกรุงเทพ” ที่ให้ผลตอบแทนสูง โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราวันนี้ เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับประเทศไทย

