ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย: กลยุทธ์พลิกวิกฤตสู่โอกาสแห่งทศวรรษใหม่
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้ประจักษ์ถึงพลวัตและแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่เศรษฐกิจของเราอย่างไม่เคยมีมาก่อน ปัจจุบัน “เศรษฐกิจไทย” กำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญที่กำหนดอนาคตของชาติ การพูดถึง “ทศวรรษที่สาบสูญ” ไม่ใช่เรื่องเกินจริงอีกต่อไป หากแต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าเราไม่สามารถเดินหน้าด้วยโมเดลเศรษฐกิจแบบเดิมได้อีกต่อไปแล้ว ผมเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าคิดนอกกรอบ และ “ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” คือกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพอันมหาศาล และนำพาประเทศก้าวพ้นจากภาวะชะงักงันนี้
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเปรียบได้กับพายุที่กำลังก่อตัว ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก รวมถึงแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญและแหล่งนักท่องเที่ยวหลักของเรา ขณะเดียวกัน ภายในประเทศเองก็เผชิญกับโครงสร้างปัญหาเชิงลึกที่กัดกร่อนความสามารถในการแข่งขัน หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ทำให้กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแอลงอย่างมาก การบริโภคภาคเอกชนที่เคยเป็นฟันเฟืองสำคัญกลับติดขัดจากการแบกรับภาระหนี้ และการลงทุนภาคเอกชนก็ไม่สามารถสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้
ในมุมมองของผมซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่คร่ำหวอดในวงการมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC อย่างชลบุรีและระยอง ผมเห็นว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่แค่การปรับจูนเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง และการที่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย จะเป็นตัวแปรสำคัญนั้น ไม่ใช่แค่ความหวังลมๆ แล้งๆ แต่เป็นกลยุทธ์ที่มีศักยภาพและได้รับการพิสูจน์แล้วจากหลายประเทศทั่วโลก
มรสุมเศรษฐกิจไทย: โจทย์ใหญ่ที่รอการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ บางนักวิเคราะห์ถึงกับเปรียบเปรยว่าเป็น “กับดักทศวรรษที่สาบสูญ” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่รุนแรงและซับซ้อนกว่าวิกฤตในอดีตหลายเท่าตัว สัญญาณที่ชัดเจนคือตลาดหุ้นที่ไร้สัญญาณการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ การลงทุนใหม่ๆ ที่ยังไม่เพียงพอต่อการสร้างการเติบโต และที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ “หนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งทะลุ 90% ของ GDP ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งกำลังซื้อและการบริโภคภายในประเทศ ทำให้แรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจอ่อนแรงลงอย่างมาก
นอกจากปัญหาภายในแล้ว เรายังต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น สงครามการค้าที่ทวีความเข้มข้นขึ้นระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกสินค้าของไทย แต่ยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก และอาจเห็นสินค้าบางประเภทถูก “เท” เข้ามาในตลาดประเทศใกล้เคียงอย่างไทยมากขึ้น ทำให้สินค้าไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงกว่าเดิม
อุตสาหกรรมหลักที่เคยเป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทยมานานอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากญี่ปุ่น ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แม้ไทยจะพยายามดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรม EV แต่ปัญหาคือผู้ประกอบการไทยยังขาดแคลนเทคโนโลยีและศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญป้อนอุตสาหกรรมนี้ ทำให้เราอาจกลายเป็นเพียงฐานการประกอบ แทนที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตและพัฒนานวัตกรรมอย่างแท้จริง นี่คือข้อจำกัดที่ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจด้านการผลิตของเรากำลังถึงจุดเปลี่ยน และเราจำเป็นต้องหาแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว
การท่องเที่ยวซึ่งเป็นความหวังใหม่ในการสร้างรายได้หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ก็ยังไม่สามารถกลับไปสู่จุดสูงสุดเหมือนปี 2562 ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่มีพฤติกรรมการเดินทางที่หลากหลายขึ้น และประเทศคู่แข่งก็มีมาตรการดึงดูดที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ดังนั้น การพึ่งพิงการท่องเที่ยวแบบเดิมๆ เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอีกต่อไป
โครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกหนึ่งระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ เราจะประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานวัยหนุ่มสาวที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและผลิตภาพในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและเร่งด่วน สิ่งที่ต้องทำคือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างจริงจัง จากเดิมที่พึ่งพาภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมหนักมากเกินไป มาสู่ภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และนี่คือจุดที่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตใหม่ให้กับประเทศ
บทเรียนจากนานาชาติ: เมื่อถึงเวลาต้องกล้าเปลี่ยน เพื่อให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก มีหลายประเทศที่เคยเผชิญวิกฤตคล้ายคลึงกับประเทศไทยในปัจจุบัน แต่สามารถพลิกโฉมตัวเองได้อย่างน่าทึ่งด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างกล้าหาญ การศึกษาโมเดลเหล่านี้จะช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าทำไมการที่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย จึงเป็นแนวทางที่มีความเป็นไปได้และเร่งด่วน
สิงคโปร์: จากประเทศที่เคยพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมอย่างหนัก ได้เปลี่ยนผ่านสู่ศูนย์กลางบริการระดับโลก โดยภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GDP พวกเขาสร้างรายได้จากต่างประเทศมหาศาลผ่านภาคการเงิน ธนาคาร เทคโนโลยี ดิจิทัลอีโคโนมี และ AI รวมถึงการศึกษา สิงคโปร์แสดงให้เห็นว่าการสร้างมูลค่าเพิ่มจาก “บริการ” และ “ความรู้” คืออนาคต
เกาหลีใต้: จากประเทศที่เน้นอุตสาหกรรมหนัก เกาหลีใต้ได้เปลี่ยนทิศทางมาสู่เทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, K-Drama) และภาคบริการ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์และรายได้ให้ประเทศ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนของชาวต่างชาติก็มีส่วนสำคัญในการดึงดูดผู้คนที่มาลงทุนและพักอาศัย
ฮ่องกง: จากฐานการผลิตสิ่งทอและโรงงานอุตสาหกรรม ฮ่องกงได้แปลงโฉมเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการ และแน่นอนว่า “อสังหาริมทรัพย์” คือหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ ฮ่องกงดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกให้เข้ามาในภาคอสังหาริมทรัพย์ และพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์พรีเมียมจนเป็นที่รู้จัก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): โดยเฉพาะดูไบและอาบูดาบี เคยพึ่งพารายได้จากการขุดเจาะน้ำมันเป็นหลัก แต่เมื่อตระหนักว่าทรัพยากรมีวันหมดสิ้น พวกเขาได้เปลี่ยนยุทธศาสตร์สู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการ และอุตสาหกรรม MICE (การประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การจัดประชุมและการแสดงสินค้า) ซึ่งการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรู คอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน หรือโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ล้วนเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ รายได้จากอสังหาริมทรัพย์และ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ คิดเป็นกว่า 50% ของ GDP
สหราชอาณาจักร (UK): อดีตผู้นำอุตสาหกรรมปฏิวัติโลก วันนี้ภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP กรุงลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีที่สำคัญของยุโรป การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูงเพื่อรองรับธุรกิจเหล่านี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากเรามีความกล้าหาญที่จะมองหาโอกาสใหม่ๆ และใช้จุดแข็งของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเมื่อพิจารณาจากบริบทของไทย การที่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คือทางออกที่สอดคล้องกับศักยภาพและทิศทางของโลกในยุคปัจจุบัน
ศักยภาพที่ซ่อนอยู่: ทำไมอสังหาริมทรัพย์คือคำตอบของประเทศไทย
ประเทศไทยมีคุณสมบัติพิเศษมากมายที่คนต่างชาติชื่นชอบและต้องการเข้ามาใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่เพียงการท่องเที่ยวระยะสั้น แต่คือการใช้ชีวิตในระยะยาว หรือแม้กระทั่งการลงทุนเพื่ออนาคต ในปี 2024 กรุงเทพมหานครยังคงติดอันดับ 1 ในเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก ซึ่งสะท้อนถึงเสน่ห์ที่ดึงดูดใจ นอกจากนี้ ระบบสาธารณสุขของไทยก็ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยมีโรงพยาบาลหลายแห่งติดอันดับดีที่สุดในโลก ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญสำหรับการดึงดูดกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่ม Medical Tourism
นอกจากนี้ ค่าครองชีพในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับคุณภาพชีวิตที่ดี อาหารไทยเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับทั่วโลก สภาพอากาศที่เป็นมิตร วัฒนธรรมที่งดงาม และคนไทยที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ประเทศไทยมี “คุณค่า” ที่เหนือกว่าแค่เรื่องราคา อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยก็ยังถือว่ามีราคาที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่มีศักยภาพใกล้เคียงกัน
ผมเห็นโอกาสสำคัญในการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง GDP ของไทยที่ปัจจุบันภาคบริการมีสัดส่วนประมาณ 52% ให้ไปในทิศทางที่เน้นภาคบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นแม่เหล็กดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ นี่คือแนวคิดที่ผมเชื่อว่าจะทำให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ในปัจจุบัน โครงสร้าง GDP ของไทยแบ่งเป็น: การบริโภคภาคเอกชน 57.7%, การลงทุนภาคเอกชน 17.3%, การใช้จ่ายภาครัฐ 22.2%, การส่งออกสินค้าและบริการ 65.4%, และการนำเข้าสินค้าและบริการ 63.7% ขณะที่โครงสร้างเศรษฐกิจด้านการผลิตแบ่งเป็น ภาคเกษตรกรรม 8.4%, ภาคอุตสาหกรรม 39.2% และภาคบริการ 52% จะเห็นว่าเรายังคงพึ่งพาการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งทั้งสองส่วนนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก
การปรับโครงสร้างเพื่อเน้นการสร้างรายได้จาก “ภายนอก” ผ่านภาคบริการและอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด เรามีพื้นที่ดินกว่า 321 ล้านไร่ และมีเอกสารสิทธิราว 127 ล้านไร่ (40%) การอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ไม่ได้หมายถึงการที่ประเทศจะถูกยึดครองแต่อย่างใด หากแต่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับที่ดินและสินทรัพย์ที่เรามีอยู่ โดยที่การถือครองอาจอยู่ในรูปแบบคอนโดมิเนียม หรือสิทธิการเช่าระยะยาวสำหรับที่ดิน เพื่อคลายความกังวลเรื่องการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยตรง
ตัวอย่างเช่น หากเราสามารถขายบ้านให้ชาวต่างชาติได้ปีละ 2 แสนหลัง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่ดินไม่ถึง 0.2% ของที่ดินที่มีเอกสารสิทธิทั้งหมดของประเทศ นี่คือการสร้างมูลค่าเพิ่มมหาศาลโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ และยังช่วยลดการพึ่งพิงตลาดในประเทศที่กำลังอ่อนแอ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย จะเป็นตัวสร้างรายได้โดยตรงจากเงินต่างประเทศ ซึ่งเป็นเสมือนหัวฉีดเงินสดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง
กลยุทธ์เชิงรุก: ดึงดูดทุนต่างชาติผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์
ประสบการณ์จากหลายประเทศทั่วโลกยืนยันว่า การใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการดึงดูดทุนต่างชาติเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่กำลังซื้อภายในประเทศลดลงและหนี้ครัวเรือนสูง นี่คือโมเดลที่ไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อทำให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โปรตุเกส (Golden Visa 2012): เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิพำนักถาวร โครงการนี้ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 7 พันล้านยูโร ช่วยฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตการเงินและกระตุ้นราคาบ้านให้กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
สเปน (Residency by Investment): หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 สเปนเปิดโอกาสให้ต่างชาติลงทุน 500,000 ยูโรขึ้นไปเพื่อขอวีซ่าพำนักถาวร ช่วยกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซา และทำให้ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี โดยดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลางจำนวนมาก
กรีซ (Greece Golden Visa): คล้ายกับโปรตุเกส โดยกำหนดให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อแลกกับวีซ่าพำนัก ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตกว่า 60% ภายใน 10 ปี และเป็นแรงสำคัญในการฟื้นตัวหลังวิกฤตหนี้ยุโรป
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Freehold Property): อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านแบบ Freehold ได้ ดึงดูดนักลงทุนมหาศาล ส่งผลให้อสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็น 50% ของ GDP จนกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลกอย่างทุกวันนี้
มาเลเซีย (Malaysia My Second Home – MM2H): เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาพำนักระยะยาว กระตุ้นตลาดบ้านอย่างมีนัยสำคัญ โดยดึงดูดกลุ่มผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น
โมเดลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังของการใช้ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะทำได้ดีกว่านี้เสียอีก เพราะเรามีจุดแข็งในด้านคุณภาพชีวิตที่เหนือกว่าหลายประเทศในลิสต์นี้
แนวคิดที่ผมผลักดันมาตลอดคือ การเปิดโอกาสให้คนต่างชาติมาถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในประเทศไทยได้อย่างสะดวกและโปร่งใส ไม่ต้องกังวลว่าที่ดินของเราจะถูกต่างชาติยึดครอง เพราะเรามีที่ดินมหาศาล และหากอนุญาตให้มีการซื้อขายบ้านให้ชาวต่างชาติในสัดส่วนที่เหมาะสม ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยทางที่ดินแต่อย่างใด การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2565 มีจำนวน 392,858 หน่วย มูลค่ากว่า 1.065 ล้านล้านบาท หากเราสามารถขายให้ต่างชาติได้เพียง 1 ใน 4 ของจำนวนนี้ นั่นหมายถึงเม็ดเงินลงทุนมหาศาลกว่า 1 ล้านล้านบาทที่จะไหลเข้าสู่ประเทศ ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่จำเป็นอย่างยิ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
กลุ่มเป้าหมายที่สำคัญไม่ใช่แค่กลุ่มเศรษฐีพันล้านเท่านั้น แต่รวมถึงกลุ่มรายได้ปานกลางถึงรายได้สูง ที่มีกำลังซื้อบ้านในระดับราคา 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยคุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ในประเทศที่น่าอยู่เช่นไทย การเข้ามาของกลุ่มนี้จะสร้างผลกระทบเชิงบวกที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่ยอดขายบ้าน แต่ยังรวมถึงการบริโภคในท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบลูกโซ่: มากกว่าแค่การขายบ้านเมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
เมื่อเราพูดถึงการที่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มันไม่ใช่แค่การขายบ้านให้ชาวต่างชาติแล้วจบไป แต่มันคือการสร้าง “ผลกระทบลูกโซ่” (Ripple Effects) ที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในวงกว้างและหลากหลายมิติอย่างมหาศาล
การกระตุ้นอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง: การขายบ้านเพิ่มขึ้นย่อมนำไปสู่ความต้องการวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปูน เหล็ก กระเบื้อง สุขภัณฑ์ ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายใน นี่คือการสร้างงานและรายได้ให้กับผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ในประเทศ นอกจากนี้ยังรวมถึงการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัยและยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมของไทย
การสร้างงานโดยตรงและทางอ้อม: การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หนึ่งโครงการสร้างงานได้ตั้งแต่สถาปนิก วิศวกร ผู้รับเหมา ช่างฝีมือ ไปจนถึงพนักงานขาย พนักงานดูแลอาคาร และผู้ให้บริการด้านต่างๆ เมื่อมีโครงการมากขึ้น งานก็ย่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดปัญหาการว่างงาน และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนโดยตรงและทางอ้อม แรงงานในภาคบริการเช่นโรงแรม ร้านอาหาร และการท่องเที่ยวก็ยังได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายของผู้อยู่อาศัยใหม่เหล่านี้
การบริโภคและการใช้จ่ายในท้องถิ่น: เมื่อชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต พัทยา ชลบุรี หรือพื้นที่ EEC พวกเขาจะมีการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าใช้บริการต่างๆ เช่น ร้านเสริมสวย ร้านกาแฟ ร้านค้าปลีก รวมถึงการศึกษาสำหรับบุตรหลาน การรักษาพยาบาล และกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ซึ่งเงินเหล่านี้จะไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นโดยตรง สร้างรายได้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในชุมชน
การยกระดับคุณภาพชีวิตและบริการ: เมื่อมีความต้องการจากตลาดต่างชาติ อสังหาริมทรัพย์ที่สร้างขึ้นก็จะมีการออกแบบและคุณภาพที่ได้มาตรฐานสากล สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ระบบสาธารณูปโภค ระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และบริการชุมชน ก็จะได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรองรับผู้อยู่อาศัยที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งผลประโยชน์เหล่านี้จะตกอยู่กับคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ ด้วย
การดึงดูดการลงทุนและนวัตกรรม: การอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อย่างเป็นระบบ อาจนำไปสู่การดึงดูดการลงทุนในสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ศูนย์กลางเทคโนโลยี ศูนย์วิจัย หรือ Start-up ที่มองหาฐานที่มั่นในเอเชีย ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและนำมาซึ่งนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับประเทศ
จากข้อมูลในอดีต การขายบ้าน 10,000 หลัง สามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง 0.75% แต่หากเราสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 100,000 หลังต่อปี ก็จะทำให้ GDP เติบโตได้ถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและสะท้อนถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไทยในฐานะเครื่องยนต์หลักของการเติบโต ผมเชื่อว่าการมุ่งเน้นตลาดอสังหาริมทรัพย์พรีเมียมและโครงการบ้านจัดสรรหรูที่เน้นคุณภาพและการบริการ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดนักลงทุนที่มีคุณภาพเข้ามาในประเทศ
ก้าวต่อไป: สร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน เพื่อโอกาสของภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
เพื่อให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างเต็มศักยภาพ เราต้องไม่เพียงแค่เปิดประตูให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่ต้องสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการลงทุนและเป็นมิตรกับนักลงทุนอย่างแท้จริง
ความชัดเจนทางกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ: สิ่งสำคัญที่สุดคือความชัดเจนและสอดคล้องกันของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ การมี “ที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯ” ที่เชี่ยวชาญ และช่องทางที่โปร่งใสในการดำเนินการ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและลดความกังวลให้กับนักลงทุน การพิจารณาประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครอง เช่น คอนโดมิเนียม หรือสิทธิการเช่าระยะยาวสำหรับที่ดิน อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
การโปรโมทเชิงรุกและสร้างความเชื่อมั่น: รัฐบาลและภาคเอกชนต้องทำงานร่วมกันในการโปรโมทประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่น่าลงทุนและน่าอยู่อาศัยระดับโลก โดยเน้นย้ำถึงจุดแข็งด้านคุณภาพชีวิต การบริการทางการแพทย์ และโอกาสในการลงทุน การสร้างแคมเปญ “วีซ่าระยะยาวสำหรับนักลงทุน” ที่น่าดึงดูดใจ หรือการพัฒนาพื้นที่เฉพาะ เช่น ในเขต EEC และเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ตหรือพัทยา ให้เป็นเขตที่เอื้อต่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ จะช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
การมองหาตลาดเฉพาะกลุ่ม: เราไม่ควรมองตลาดต่างชาติเป็นก้อนเดียว แต่ควรเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อและความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่ม Digital Nomads ที่ต้องการที่อยู่อาศัยพร้อม Co-working space ที่ทันสมัย, กลุ่มผู้เกษียณอายุที่มองหาบ้านพักตากอากาศพร้อมบริการดูแลสุขภาพ, หรือกลุ่ม High-Net-Worth Individuals ที่มองหาโครงการบ้านหรูหรือคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนในทำเลทองอย่างกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวหลัก การวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างละเอียดจะช่วยให้เราสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง: แม้ไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีในหลายพื้นที่ แต่การลงทุนเพิ่มเติมในด้านคมนาคมขนส่ง พลังงานสะอาด และดิจิทัล จะช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดใจให้กับนักลงทุน และทำให้ประเทศไทยพร้อมสำหรับการเติบโตในระยะยาว การพัฒนาเมืองและสิ่งแวดล้อมให้เป็น Smart City จะยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นั้นๆ
ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องมอง ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในฐานะยุทธศาสตร์สำคัญ ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในทศวรรษหน้า การเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ไม่ได้หมายถึงการลดทอนความเป็นไทย แต่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสิ่งที่ไทยมี และสร้างรายได้มหาศาลให้กับคนไทยทุกคน
สรุปและบทสรุป: ถึงเวลาที่อสังหาริมทรัพย์จะนำพาเศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้า
ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผมได้อยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ผมได้เห็นพัฒนาการและปัญหาต่างๆ อย่างลึกซึ้ง และผมเชื่ออย่างหมดใจว่า ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนภัยทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศได้อีกต่อไป การพึ่งพาโมเดลเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ที่เคยพาเรามาถึงจุดนี้ อาจไม่สามารถนำพาเราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจจากเดิมที่เน้นการส่งออกและอุตสาหกรรมหนัก มาสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มจากภาคบริการและ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย อย่างเต็มกำลัง ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในประเทศไทย ทั้งในด้านการท่องเที่ยว การแพทย์ วัฒนธรรม และความเป็นมิตรของคนไทย ล้วนเป็นแม่เหล็กสำคัญที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและผู้คนจากทั่วโลกให้เข้ามาใช้ชีวิตและลงทุนในบ้านของเรา
การเรียนรู้จากบทเรียนความสำเร็จของนานาประเทศที่ใช้กลยุทธ์ Golden Visa หรือ Residency by Investment แสดงให้เห็นว่าการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ไม่ได้เป็นภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสทองในการดึงดูดเงินทุนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ และกระตุ้นอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องต่างๆ ให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงอย่างโครงการ EEC จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างภูเก็ตและพัทยา ซึ่งเป็นตลาดที่อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง
ผมขอเชิญชวนให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ได้ร่วมกันพิจารณาและผลักดันแนวทางนี้อย่างจริงจัง สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวผ่านความท้าทายทางเศรษฐกิจนี้ไปได้ด้วยความแข็งแกร่ง และพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสทองแห่งทศวรรษใหม่ โดยมี ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เป็นหัวหอกสำคัญ
หากท่านมีความสนใจในการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย หรือต้องการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโอกาสในการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับความต้องการจากตลาดต่างชาติที่กำลังจะมาถึง โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเรา ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษาและนำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายของท่าน เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่สดใสให้กับเศรษฐกิจไทยไปด้วยกัน

