สัญญาณอันตราย: ถอดรหัส ‘สงครามราคาบ้าน’ และอนาคตตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ปี 2568-2569
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่าทศวรรษ ผมมองเห็นถึงเงื่อนงำและสัญญาณเตือนที่กำลังก่อตัวขึ้นในตลาดอย่างชัดเจน และหนึ่งในประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในขณะนี้คือแนวโน้มของการเกิด “สงครามราคาบ้าน” ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย และเศรษฐกิจโดยรวม ดั่งที่เราเคยเห็นมาแล้วในตลาดรถยนต์เมื่อไม่นานมานี้ บทความนี้จะเจาะลึกถึงปัจจัยกระตุ้น ความเสี่ยง ผลกระทบ และกลยุทธ์ในการรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้บริโภคสามารถเตรียมพร้อมและนำทางไปสู่อนาคตที่ไม่แน่นอนได้อย่างชาญฉลาด
ถอดรหัสสัญญาณเตือน: เศรษฐกิจและกำลังซื้อที่เปลี่ยนไป
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีความเปราะบางและฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย การชะลอตัวของเศรษฐกิจได้กัดกร่อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้การตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ ถูกชะลอหรือเลื่อนออกไป นอกจากนี้ ภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญที่ฉุดรั้งความสามารถในการก่อหนี้ใหม่ของผู้คนจำนวนมาก
ในช่วงเริ่มต้น เราอาจเห็นผลกระทบนี้ชัดเจนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีฐานลูกค้าจำนวนมากและอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม สัญญาณอันตรายนี้กำลังลุกลามไปสู่กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท และเริ่มขยับไปถึงระดับ 10 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มรายได้น้อยอีกต่อไป แต่กำลังแพร่กระจายไปสู่กลุ่มรายได้ระดับกลางและสูงขึ้น นี่คือสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่กำลังซึมลึกจากล่างสู่บน ซึ่งยากต่อการแก้ไข ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นดินปืนที่พร้อมจะจุดชนวน “สงครามราคาบ้าน” ให้ปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ การทำความเข้าใจพื้นฐานเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของกำลังซื้อจึงเป็นหัวใจสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันและอนาคต การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และควรทำการวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างละเอียดรอบคอบ
ธนาคารกับการคุมเข้ม: บทบาทสำคัญในการฉุดรั้ง
ในอีกด้านหนึ่ง ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก จากรายงานที่น่ากังวลเกี่ยวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) และสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารต้องใช้ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น การประเมินความเสี่ยงที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate) พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ซื้อบ้านราคาต่ำกว่า 3-4 ล้านบาท ที่มักมีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) สูง และอาจมีคุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อ
การที่ธนาคารไม่กล้าปล่อยสินเชื่อมากนัก ไม่ใช่เพียงเพราะการระมัดระวังความเสี่ยงด้านเครดิตของตนเองเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการชำระหนี้ของผู้กู้ในระยะยาว รวมถึงความกังวลต่อมูลค่าหลักประกันหากสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์แย่ลงไปอีก ในขณะที่ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ (New Loan) สำหรับที่อยู่อาศัยหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ยอดสินเชื่อคงค้างกลับทรงตัว นี่คือภาพที่แสดงให้เห็นถึงสภาพคล่องในระบบที่ตึงตัว และความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย
นอกจากนี้ การที่ธนาคารบางแห่งเริ่มเห็นแนวโน้มการนำสินทรัพย์มาแปลงเป็นสภาพคล่องมากขึ้น เช่น บริการ “บ้านแลกเงิน” (Home for Cash) สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเงินสดของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะความตึงเครียดทางการเงินส่วนบุคคล การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินและการประเมินความเสี่ยงของธนาคาร จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อปริมาณสินเชื่อที่ไหลเข้าสู่ตลาด และเป็นอีกหนึ่งกลไกที่อาจเร่งให้เกิด “สงครามราคาบ้าน” เมื่ออุปทานไม่สอดคล้องกับอุปสงค์ที่แท้จริง สำหรับผู้ที่กำลังมองหา สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษ หรือต้องการ รีไฟแนนซ์บ้าน เพื่อลดภาระ ก็ควรเร่งปรึกษาสินเชื่อบ้านกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
เงาสะท้อนจากตลาดรถยนต์: บทเรียนที่ต้องเรียนรู้
ประสบการณ์จากตลาดรถยนต์ในปีที่ผ่านมา เป็นอุทาหรณ์ที่น่าสนใจและควรแก่การศึกษาอย่างยิ่ง เมื่อรถยนต์ป้ายแดงหลายรุ่นถูกหั่นราคาลงอย่างรุนแรง อันเป็นผลจากการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีการดัมพ์ราคา รวมถึงกำลังซื้อที่อ่อนแอ และการควบคุมสินเชื่อของธนาคาร ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเร่งระบายสต็อกด้วยกลยุทธ์ “สงครามราคา” ที่ลดแลกแจกแถมอย่างดุเดือด แม้จะช่วยกระตุ้นยอดขายได้ในระยะสั้น แต่กลับสร้างผลกระทบในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย การทิ้งรถของผู้บริโภค และความปั่นป่วนในตลาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ผลกระทบจะรุนแรงและซับซ้อนกว่ามาก เพราะอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เพียงแค่สินค้า แต่เป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของคนส่วนใหญ่ มูลค่าบ้านที่ลดลงอย่างฮวบฮาบจะส่งผลกระทบต่อ “Wealth Effect” หรือความรู้สึกมั่งคั่งของผู้คน เมื่อมูลค่าของสินทรัพย์ลดลง คนจะรู้สึกว่าตนเอง “จนลง” สูญเสียความมั่นคง ไม่กล้าบริโภค ไม่กล้าใช้จ่าย ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะการหมุนเวียนของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเรื่อยๆ และอาจกลายเป็นปัญหาระดับมหภาคที่แก้ไขได้ยากยิ่ง ดังที่เราเห็นในบางประเทศที่เผชิญวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ การเข้าใจถึงกลไกนี้จะช่วยให้เราสามารถ วิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และเตรียมกลยุทธ์การลงทุนอสังหาฯ ได้อย่างเหมาะสม
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ 2568-2569: โอกาสและความท้าทาย
มองไปข้างหน้า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว การเปิดโครงการใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด สอดคล้องกับความต้องการซื้อที่ลดลง ในขณะที่สต็อกคงค้าง (Unsold Inventory) โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมและบ้านเก่าในบางทำเล ยังคงเป็นความท้าทายใหญ่ที่ผู้ประกอบการต้องเร่งระบายออกไป เพื่อรักษาสภาพคล่องของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่ตลาดบ้านใหม่เผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ตลาดบ้านมือสองกลับได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากมีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า และมีทำเลที่ตั้งที่ตอบโจทย์ความต้องการจริง ธนาคารบางแห่งจึงหันมาเน้นการขยายตัวในตลาดนี้มากขึ้น แต่ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์และคุณสมบัติลูกค้า เพราะตลาดบ้านมือสองเองก็มีความเสี่ยงซ่อนอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ซื้อไม่ได้มีความต้องการอยู่อาศัยจริง
ความแตกต่างของตลาดจะเริ่มชัดเจนขึ้นตามระดับราคาและทำเล กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ราคาแพง (5 ล้านบาทขึ้นไป) ที่มีกำลังซื้อสูงและฐานะทางการเงินมั่นคง มีแนวโน้มที่จะยังคงได้รับการอนุมัติสินเชื่อที่ดีกว่า ในขณะที่กลุ่มราคาต่ำยังคงเผชิญกับอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงมาก
สำหรับปี 2569 มีการคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้เล็กน้อยที่ 4-5% หากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและกำลังซื้อเริ่มกระเตื้องขึ้น การวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาดอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนที่มองหา โอกาสลงทุนอสังหาฯ ในระยะยาว การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะ อสังหาฯ เพื่อการลงทุน ควรพิจารณาจากศักยภาพของทำเลและประเภทของอสังหาริมทรัพย์อย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก “สงครามราคาบ้าน”
กลยุทธ์รับมือและทางออกสำหรับผู้เกี่ยวข้อง
เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจาก “สงครามราคาบ้าน” และความท้าทายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์และมองหาทางออกอย่างสร้างสรรค์:
สำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ:
บริหารจัดการสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ: การระบายสต็อกคงค้างอย่างชาญฉลาด โดยไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม “สงครามราคาบ้าน” โดยตรง อาจจะทำได้โดยการนำเสนอโปรโมชั่นพิเศษ การตกแต่งเพิ่มเติม หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มอื่นๆ
เน้นโครงการเฉพาะกลุ่ม (Niche Market): การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่ม หรือในทำเลที่มีศักยภาพและอุปทานไม่สูงเกินไป
สร้างพันธมิตร: ร่วมมือกับธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อเสนอแพ็กเกจสินเชื่อที่น่าสนใจสำหรับลูกค้า หรือร่วมมือกับผู้ประกอบการรายอื่นเพื่อลดต้นทุนและแบ่งเบาความเสี่ยง
นวัตกรรมและการปรับตัว: พิจารณาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เช่น การเช่าซื้อ (Lease-to-Own) หรือการสร้างอสังหาฯ ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
สำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ควรศึกษาแนวโน้มและพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด
สำหรับผู้ซื้อและผู้ที่กำลังมองหา ซื้อบ้านหลังแรก:
ประเมินสถานะทางการเงินอย่างรอบคอบ: ตรวจสอบภาระหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
เปรียบเทียบข้อเสนอ: หากเกิด “สงครามราคาบ้าน” ขึ้นจริง นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคาที่สมเหตุสมผล แต่ต้องเปรียบเทียบหลายโครงการและพิจารณาคุณภาพอย่างถี่ถ้วน
มองหาบ้านมือสอง: ตลาดนี้อาจมีตัวเลือกที่น่าสนใจในราคาที่จับต้องได้มากกว่าบ้านใหม่ แต่ต้องตรวจสอบสภาพและทำเลให้ดี
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ก่อนตัดสินใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อบ้าน และ ประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำ
สำหรับนักลงทุน การลงทุนอสังหาริมทรัพย์:
วิเคราะห์ทำเลและศักยภาพ: เลือกทำเลที่มีความต้องการจริง และพิจารณาอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว เช่น คอนโดมิเนียมให้เช่าในพื้นที่เศรษฐกิจ หรือบ้านที่สามารถปรับปรุงเพิ่มมูลค่าได้
Diversify Portfolio: ไม่ควรกระจุกตัวลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทเดียวหรือทำเลเดียว
ระมัดระวังการเก็งกำไร: ในภาวะที่ตลาดผันผวน การลงทุนระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรมีความเสี่ยงสูง ควรเน้นกลยุทธ์การลงทุนอสังหาฯ ระยะยาว
ติดตามข้อมูลตลาดอย่างใกล้ชิด: การวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ
สำหรับธนาคารพาณิชย์:
บริหารจัดการหนี้เสียอย่างมีประสิทธิภาพ: การจัดการ NPLs และ SM ที่เข้มงวดและเชิงรุก จะช่วยรักษาสุขภาพของพอร์ตสินเชื่อโดยรวม
ปรับเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อให้ยืดหยุ่น: อาจพิจารณาเกณฑ์ที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยยังคงความระมัดระวัง
พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ: เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อปรับปรุงซ่อมแซม หรือการให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ลูกค้า
บทสรุป: เตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง
“สงครามราคาบ้าน” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ แรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อที่อ่อนแอ และความเข้มงวดของสถาบันการเงิน กำลังบีบให้ผู้ประกอบการต้องเร่งระบายสต็อก และอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเกิดขึ้นจริง ผลกระทบต่อ “Wealth Effect” และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจไทย
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอเน้นย้ำว่า ช่วงเวลานี้ไม่ใช่เวลาของการตื่นตระหนก แต่เป็นเวลาของการใช้สติ พิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน และเตรียมพร้อมด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ผู้ที่สามารถปรับตัวและมองเห็นโอกาสในวิกฤต จะเป็นผู้ที่ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป การรับมือกับความท้าทายนี้ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึก การวางแผนอย่างรัดกุม และความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์
หากท่านต้องการเจาะลึกข้อมูล หรือปรึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนใน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อคว้าโอกาสในวิกฤตและนำทางธุรกิจหรือการลงทุนของท่านไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อขอรับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์และแม่นยำที่สุด

