จับสัญญาณวิกฤต: “สงครามราคาบ้าน” ภัยเงียบที่รอการปะทุในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568-2569
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์และการเงินมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตและวิเคราะห์พลวัตของตลาดมาอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ปี 2568 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยที่น่ากังวลอย่างยิ่ง นั่นคือโอกาสในการเกิด “สงครามราคาบ้าน” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงและซับซ้อนกว่าที่เราเคยเผชิญมาในอดีต สถานการณ์นี้ไม่ใช่เพียงแค่การแข่งขันทางการตลาดทั่วไป แต่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจสั่นคลอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของครัวเรือนไทย
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นเสาหลักสำคัญของระบบเศรษฐกิจ เป็นเครื่องสะท้อนกำลังซื้อ ความเชื่อมั่น และทิศทางการลงทุนของประเทศ เมื่อใดที่เสาหลักนี้เริ่มสั่นคลอน ผลกระทบจะแผ่ขยายไปในวงกว้าง ไม่ต่างจากการโดมิโน่ที่ล้มเรียงต่อกันไปทั่วทั้งระบบ
บทความนี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุที่มา ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และกลยุทธ์ในการรับมือกับ สงครามราคาบ้าน ที่เราต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ผมจะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและมุมมองจากประสบการณ์จริง เพื่อให้คุณผู้อ่าน ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้พัฒนา และนักลงทุน ได้เข้าใจถึงภูมิทัศน์ของตลาดที่กำลังเปลี่ยนไป และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ ลงทุนอสังหาฯ การขอ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ หรือการ บริหารหนี้อสังหาฯ บทความนี้จะเป็นแนวทางสำคัญในการวางแผนอย่างรอบคอบในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนี้
สภาพตลาดปัจจุบัน: มรสุมเศรษฐกิจและกระแสที่เปลี่ยนไป
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด-19 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้เผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีช่วงที่ดูเหมือนจะฟื้นตัวได้บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถกลับไปสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดได้ ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งตลาดไว้คือ:
กำลังซื้อที่อ่อนแอและหนี้ครัวเรือนสูง: เศรษฐกิจไทยที่ยังคงฟื้นตัวอย่างเปราะบาง ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพ ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้ผู้คนมีข้อจำกัดในการก่อหนี้เพิ่ม โดยเฉพาะหนี้ก้อนใหญ่อย่างสินเชื่อที่อยู่อาศัย สัญญาณนี้เด่นชัดขึ้นในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ซึ่งเป็นฐานลูกค้าขนาดใหญ่ของตลาดบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท
อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น: การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการกู้ยืมของผู้ซื้อบ้าน แม้ธนาคารพาณิชย์จะพยายามเสนอ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ ในช่วงเริ่มต้น แต่โดยรวมแล้ว ภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตลอดอายุสัญญา ทำให้ความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้ลดลง และเพิ่มความลังเลในการตัดสินใจซื้อ
ปัญหาอุปทานส่วนเกิน (Oversupply): ในช่วงก่อนหน้านี้ การเร่งพัฒนาโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรในหลายทำเล ทำให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาด สินค้าคงคลังจำนวนมากเหล่านี้กลายเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ผู้พัฒนาต้องหาทางระบายออกให้ได้โดยเร็ว
จากสภาพการณ์ข้างต้น หลายฝ่ายเริ่มมองเห็นภาพซ้อนทับกับสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในตลาดรถยนต์เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งนำไปสู่ สงครามราคาบ้าน ที่ดุเดือด ในตลาดรถยนต์ เราเห็นการลด แลก แจก แถม อย่างมหาศาล โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เข้ามาสร้างแรงสั่นสะเทือน ทำให้รถยนต์สันดาปต้องปรับลดราคาลงเพื่อแข่งขัน เป็นการระบายสต็อกที่ไม่สามารถขายได้ และส่งผลให้ราคาตลาดโดยรวมปรับลดลงอย่างรวดเร็ว
บทบาทสถาบันการเงิน: เข็มขัดรัดและภาวะสินเชื่อตึงตัว
หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์คือสินเชื่อที่อยู่อาศัย และเมื่อสถานการณ์ตลาดเริ่มไม่แน่นอน สถาบันการเงินย่อมต้องเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเร่งที่อาจนำไปสู่ สงครามราคาบ้าน
จากการประเมินของธนาคารชั้นนำหลายแห่ง เช่น CIMB Thai, Krungthai และ UOB ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าคุณภาพสินเชื่อในภาพรวมเริ่มถดถอยลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่มีการกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention – SM) และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ได้ชี้ให้เห็นว่า สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่บ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทอีกต่อไป แต่เริ่มขยายวงไปสู่บ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาท และเริ่มลามไปถึง 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังซึมจากฐานรากสู่ชนชั้นกลาง และแก้ไขได้ค่อนข้างยาก
ธนาคารต่างๆ จึงจำเป็นต้องยกระดับความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate) สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้กู้ซื้อบ้านราคา 3-4 ล้านบาท ที่มีภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio – DSR) สูงเกินเกณฑ์ แม้แต่ผู้ที่ต้องการ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ ก็อาจพบว่าการเข้าถึงสินเชื่อเป็นเรื่องยากขึ้นมาก ต่างจากกลุ่มผู้มีรายได้สูง (ประมาณ 70,000 – 100,000 บาทขึ้นไป) ที่ซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งยังคงมีอัตราการอนุมัติสินเชื่อที่ดีอยู่
นอกจากนี้ เรายังเห็นเทรนด์ที่น่าสนใจคือการที่ผู้คนเริ่มนำสินทรัพย์ เช่น บ้าน ไปแปลงเป็นสภาพคล่องมากขึ้นผ่านโปรแกรม “บ้านแลกเงิน” (Home for Cash) ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการขาดสภาพคล่องของครัวเรือน และในมุมของธนาคารเอง นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ก็ยอมรับว่าสินเชื่อบ้านอยู่ในโหมดประคับประคอง เช่นเดียวกับ นายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ที่ระบุว่ายอดปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่หดตัวถึง 15% และหันมาเน้นตลาดบ้านมือสองมากขึ้น ซึ่งก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกันหากไม่มีการประเมินราคาและคัดกรองคุณสมบัติลูกค้าอย่างรัดกุม
เสียงสะท้อนจากอดีต: ทำไมอสังหาฯ จึงต่างจากรถยนต์
การเปรียบเทียบสถานการณ์กับตลาดรถยนต์ที่เคยเกิด สงครามราคา อย่างรุนแรง อาจทำให้เราเข้าใจภาพรวมได้ดีขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่า สงครามราคาบ้าน มีมิติที่ซับซ้อนและผลกระทบที่กว้างขวางกว่ามาก
ในตลาดรถยนต์ การลดราคาอย่างหนักหน่วงมักจะเกิดจากการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี (เช่น EV) หรือสินค้าคงคลังที่ล้นเกิน เมื่อรถยนต์ถูกลดราคาลง ผู้บริโภคอาจรู้สึกเสียโอกาสบ้าง แต่โดยรวมแล้วไม่ได้สั่นคลอนความมั่งคั่งส่วนบุคคลมากนัก การทิ้งสินเชื่อรถยนต์ก็เป็นปัญหา แต่จำกัดวงอยู่เฉพาะสินทรัพย์นั้น
ทว่าในตลาดอสังหาริมทรัพย์ สถานการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม “บ้าน” ไม่ใช่แค่ยานพาหนะ แต่คือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่ เป็นแหล่งพำนัก เป็นหลักประกันความมั่นคง และเป็นส่วนสำคัญของ “Wealth Effect” หรือผลกระทบต่อความมั่งคั่ง หากราคาบ้านลดลงอย่างรุนแรง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความรู้สึกมั่งคั่งของเจ้าของบ้านทันที
ลองนึกถึงกรณีศึกษาของประเทศจีนที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้คนรู้สึกว่าตัวเอง “จนลง” จากมูลค่าบ้านที่หายไป ความเชื่อมั่นในการบริโภคและการใช้จ่ายลดลงอย่างฮวบฮาบ เมื่อผู้คนไม่กล้าใช้จ่าย เศรษฐกิจโดยรวมก็ชะลอตัวลงตามไปด้วย เกิดเป็นวงจรที่น่ากลัวกว่าตลาดรถยนต์หลายเท่าตัว
ดังนั้น หากเกิด สงครามราคาบ้าน ขึ้นจริง มันจะไม่เพียงสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่จะลุกลามไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจมหภาค สร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน กระทบต่อสภาพคล่องของธนาคาร และอาจนำไปสู่วิกฤตที่รุนแรงกว่าที่เคยเป็นมา
ทางสองแพร่งของผู้พัฒนา: สินค้าค้างสต็อกและการเอาตัวรอด
ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ในขณะที่ยอดขายบ้านใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่องถึง 15-20% เมื่อเทียบปีต่อปี สินค้าคงคลังในตลาดกลับมีปริมาณมหาศาล สอดคล้องกับที่ นายยุทธชัย จาก UOB ชี้ว่าปัจจุบันตลาดอสังหาฯ แย่กว่าช่วงโควิด-19 เพราะ “มีของในตลาด มีในสต็อกเยอะ แต่ขายไม่ออก”
แรงกดดันในการ “ระบายของ” หรือการเคลียร์สต็อกสินค้าที่ค้างอยู่ ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องหันมาพิจารณากลยุทธ์ลดราคา แม้จะไม่อยากทำก็ตาม โดยเฉพาะโครงการเก่า คอนโดมิเนียมเก่า หรือบ้านเก่าที่เปิดตัวมานาน แต่ยังขายไม่หมด เริ่มมีการแข่งขันลดราคามากขึ้นเพื่อดึงดูดกำลังซื้อที่หดหายไป
กลยุทธ์อสังหาฯ ของผู้พัฒนาจึงกลายเป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด:
ลดราคาเพื่อรักษาสภาพคล่อง: สำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ต้องการสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน การลดราคาขายอาจเป็นทางเลือกที่จำเป็นที่สุด แม้จะต้องยอมขาดทุนบ้างก็ตาม เพื่อนำเงินทุนกลับมาหมุนเวียนและลดภาระดอกเบี้ย
โปรโมชันพิเศษและแคมเปญดึงดูด: ผู้พัฒนาอาจจะยังไม่ประกาศลดราคาอย่างเปิดเผย แต่จะออกแคมเปญ ลด แลก แจก แถม เช่น ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน, ฟรีเฟอร์นิเจอร์, ดอกเบี้ยพิเศษ, หรือรับประกันค่าเช่า เพื่อจูงใจผู้ซื้อโดยไม่ทำลายภาพลักษณ์ราคาตลาดโดยรวม
ชะลอการเปิดโครงการใหม่: หลายรายเลือกที่จะชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อรักษาสมดุลของอุปทานและอุปสงค์ และประเมินสถานการณ์ตลาดอย่างรอบคอบยิ่งขึ้น
ปรับโฟกัสสู่ตลาดบ้านมือสอง: ดังที่ธนาคารยูโอบีชี้ให้เห็น ตลาดบ้านมือสองมีความเสถียรภาพมากกว่าบ้านใหม่ในบางมิติ ทำให้ผู้พัฒนาบางรายอาจหันไปหาโอกาสในการพัฒนาหรือลงทุนในตลาดนี้แทน
อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการจำนวนมากตัดสินใจลดราคาอย่างหนักเพื่อระบายสต็อกพร้อมๆ กัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของ สงครามราคาบ้าน ที่แท้จริง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดใหญ่ สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นกู้ (ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญของผู้พัฒนา) และสร้างแรงกดดันต่อบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์เหล่านี้จำนวนมากในพอร์ต
สองตลาด สองสถานการณ์: บ้านใหม่และบ้านมือสอง
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันกำลังเดินไปบนสองเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน:
ตลาดบ้านใหม่ (New Homes): เผชิญกับความท้าทายอย่างหนักหน่วง ยอดขายลดลง การเปิดโครงการใหม่ลดลง สินค้าคงค้างมีจำนวนมาก และการแข่งขันสูง ผู้พัฒนาต้องใช้กลยุทธ์ที่สร้างสรรค์และรุนแรงมากขึ้นในการดึงดูดลูกค้า โดยเฉพาะในทำเลที่มีคู่แข่งหนาแน่น
ตลาดบ้านมือสอง (Second-Hand Homes): กลับกลายเป็นดาวเด่นที่น่าสนใจกว่า แม้จะมีความเสี่ยงเฉพาะตัว แต่ความต้องการยังคงมีอยู่ เนื่องจากราคาที่สมเหตุสมผลกว่าบ้านใหม่ และบางครั้งยังสามารถหาทำเลที่ดีกว่าได้ในราคาที่เอื้อมถึง โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่เช่น ราคาบ้านกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือ คอนโดมิเนียมสุขุมวิท ที่เป็นทำเลทอง
สำหรับผู้ซื้อบ้าน กลุ่มบ้านมือสองจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม ธนาคารก็เพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อสำหรับบ้านมือสองเช่นกัน โดยต้องพิจารณาราคาประเมินอย่างรอบคอบ และเข้มงวดกับคุณสมบัติผู้กู้ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และมีความสามารถในการชำระหนี้
การ วิเคราะห์ตลาดบ้าน อย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย การทำความเข้าใจว่ากลุ่มราคาไหน ประเภทใด ที่ยังคงมีความต้องการและมีโอกาสในการซื้อขาย จะช่วยให้ตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
การรับมือกับมรสุม: กลยุทธ์สำหรับผู้ซื้อ ผู้ขาย และนักลงทุน
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ยาวนานในวงการ ผมเชื่อว่าแม้สถานการณ์จะดูท้าทาย แต่ก็ยังคงมีโอกาสสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมและวางแผนอย่างชาญฉลาด นี่คือแนวทางและ กลยุทธ์อสังหาฯ ที่ผมแนะนำ:
สำหรับผู้ซื้อ:
ประเมินความพร้อมทางการเงินอย่างรอบคอบ: ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองอย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คำนวณ DSR ของคุณให้ดี อย่ากู้เกินตัว เพราะในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน ภาระผ่อนอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
ศึกษาตลาดอย่างละเอียด: ไม่ว่าจะเป็น บ้านมือสองกรุงเทพฯ หรือ โครงการบ้านนนทบุรี ที่คุณสนใจ ศึกษาข้อมูลราคาในทำเลนั้นๆ อย่างรอบด้าน ทั้งโครงการใหม่และโครงการมือสอง เปรียบเทียบราคา คุณภาพ และเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด
เจรจาต่อรองให้เต็มที่: ในช่วง สงครามราคาบ้าน ผู้ขายและผู้พัฒนาจะมีความยืดหยุ่นในการเจรจาต่อรองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนลด ของแถม หรือเงื่อนไขพิเศษ อย่าลังเลที่จะต่อรองเพื่อประโยชน์สูงสุดของคุณ
มองหาโอกาสในตลาดมือสอง: ตลาดบ้านมือสองอาจเป็นแหล่งรวม “อัญมณี” ที่ซ่อนอยู่ ด้วยราคาที่สมเหตุสมผลกว่า และมีตัวเลือกที่หลากหลายในทำเลที่อาจเข้าถึงง่ายกว่าบ้านใหม่
สำหรับผู้ขาย:
ตั้งราคาให้สมเหตุสมผล: ในช่วงที่กำลังซื้ออ่อนแอและมีสินค้าล้นตลาด การตั้งราคาที่สูงเกินจริงจะทำให้บ้านของคุณขายได้ยาก ควรศึกษา การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ในทำเลใกล้เคียงอย่างละเอียด และตั้งราคาที่แข่งขันได้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย
ปรับปรุงบ้านให้พร้อมขาย: การลงทุนเล็กน้อยในการปรับปรุงซ่อมแซม หรือตกแต่งบ้านให้น่าอยู่ จะช่วยเพิ่มมูลค่าและสร้างความประทับใจให้กับผู้ซื้อได้
พิจารณาโปรโมชันที่สร้างสรรค์: หากไม่ต้องการลดราคาโดยตรง ลองพิจารณาการให้เงื่อนไขพิเศษ เช่น ฟรีค่าโอน, ฟรีเฟอร์นิเจอร์ หรือช่วยผ่อนในช่วงแรก เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
สำหรับนักลงทุน:
วิเคราะห์ตลาดบ้านอย่างถี่ถ้วน: การ ลงทุนอสังหาฯ ในช่วงนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ศึกษาเทรนด์ในระยะยาว มองหาทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโต แม้ในระยะสั้นอาจดูไม่สดใส แต่ในระยะยาวบางทำเลอาจยังมี โอกาสลงทุนอสังหาฯ ที่น่าสนใจ
กระจายความเสี่ยง: ไม่ควรลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทเดียวหรือทำเลเดียวมากเกินไป การกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น หรืออสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่แตกต่างกัน จะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมได้
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: การขอคำแนะนำจาก ที่ปรึกษาอสังหาฯ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีประสบการณ์ จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อการตัดสินใจ บริหารหนี้อสังหาฯ และการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
บทสรุป: เตรียมรับมือกับอนาคตที่ท้าทาย
สงครามราคาบ้าน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัวจนเกินเหตุ แต่เป็นสถานการณ์ที่เราต้องเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมืออย่างมีสติ จากประสบการณ์ 10 ปีในวงการ ผมมองว่าปี 2568-2569 จะยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ ตลาดจะค่อยๆ กลับมามีเสถียรภาพและอาจเริ่มเห็นสัญญาณบวกในช่วงปลายปี 2569 เป็นต้นไป
การที่ตลาดจะกลับมาฟื้นตัวได้ 4-5% ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์นั้น ต้องอาศัยการปรับตัวจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนกำลังซื้อ มาตรการของสถาบันการเงินที่สมดุล และ กลยุทธ์อสังหาฯ ที่ชาญฉลาดของผู้พัฒนาและนักลงทุน
ในฐานะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดนี้ ทุกคนมีบทบาทสำคัญในการประคับประคองและนำพาวงการนี้ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ การสร้างความรู้ความเข้าใจ การวางแผนที่รอบคอบ และการตัดสินใจที่อิงอยู่บนข้อมูลที่ถูกต้อง จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
หากคุณกำลังพิจารณาที่จะซื้อ ขาย หรือ ลงทุนอสังหาฯ ในช่วงเวลาที่ผันผวนนี้ อย่าลังเลที่จะศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและอสังหาริมทรัพย์ และประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน เพื่อให้ทุกก้าวที่คุณเดินไปเป็นไปอย่างมั่นคงและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว

