• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D1512090 ไม oแบบน คงจะด part2

admin79 by admin79
December 16, 2025
in Uncategorized
0
D1512090 ไม oแบบน คงจะด part2

กลิ่นอาย ‘สงครามราคาบ้าน’ ระลอกใหม่: บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568-2569

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดมาแล้วหลายระลอก ตั้งแต่ช่วงบูมไปจนถึงขาลง การปรับตัวของเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศได้สร้างภูมิทัศน์ใหม่ที่ซับซ้อนและท้าทายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 นี้ สัญญาณของความอ่อนไหวในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังส่งเสียงเตือนอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่ภาวะชะลอตัวปกติ แต่เป็นไปได้ถึงขั้นที่อาจเผชิญกับสิ่งที่หลายฝ่ายวิตกกังวล นั่นคือ ‘สงครามราคาบ้าน’ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะส่งผลกระทบที่ลึกซึ้งและยาวนานต่อเศรษฐกิจมหภาคและวิถีชีวิตของผู้คน บทความนี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุ ปัจจัยขับเคลื่อน และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมนำเสนอแนวทางการรับมือสำหรับผู้ที่อยู่ในวงการ ผู้บริโภค และนักลงทุน โดยอิงข้อมูลเชิงลึกและแนวโน้มที่อัปเดตถึงปี 2568-2569

ถอดรหัสวิกฤต: ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน

สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีลักษณะที่บ่งชี้ถึงภาวะ “ซึมยาว” อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลพวงจากหลายปัจจัยที่มาบรรจบกัน ประการแรก เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ภาคการท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคัก แต่ภาคการผลิตและการส่งออกยังคงเผชิญกับความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้กำลังซื้อของประชาชนโดยรวมยังไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และหนี้ครัวเรือนที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยิ่งบั่นทอนความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ของผู้บริโภคให้ลดลง

ในขณะเดียวกัน นโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ภาระการผ่อนชำระเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์เองก็เพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่ออย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในภาคสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจับตาใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง บ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่ NPL จะปรับเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต หากคุณภาพสินเชื่อยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง ธนาคารก็จะยิ่งเข้มงวดกับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้ยอดการอนุมัติสินเชื่อลดลง และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate) สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจากข้อมูลที่เราเห็นในตลาดบ้านกรุงเทพฯ และอสังหาฯ ปริมณฑล ยอดปฏิเสธสินเชื่อสำหรับที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3-5 ล้านบาทนั้นสูงมาก เนื่องจากผู้ขอกู้มีภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) สูง

สิ่งที่น่ากังวลคือ ปัญหาคุณภาพสินเชื่อไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทอีกต่อไป แต่เริ่มลามไปสู่กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท และบางส่วนเริ่มเห็นผลกระทบแม้กระทั่งในกลุ่มราคา 10 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจซึมที่เริ่มจากฐานราก กำลังส่งผลกระทบต่อกลุ่มชนชั้นกลางมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือสัญญาณเตือนที่สำคัญที่เราต้องรับรู้และเตรียมพร้อมรับมือ และตอกย้ำความเสี่ยงที่อาจจะนำไปสู่ ‘สงครามราคาบ้าน’ อย่างแท้จริง

เงาของสงครามราคา: บทเรียนจากอุตสาหกรรมยานยนต์

เมื่อพูดถึง ‘สงครามราคาบ้าน’ ภาพที่เด่นชัดที่สุดคือการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดรถยนต์เมื่อปีที่ผ่านมา การแข่งขันที่รุนแรงจากการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในราคาที่ดึงดูดใจ ประกอบกับกำลังซื้อที่ชะลอตัว และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้ผู้ประกอบการรถยนต์ต้องหั่นราคารถยนต์ป้ายแดงลงอย่างหนักเพื่อระบายสต็อก ผลพวงที่ตามมาไม่ใช่แค่การทำลายโครงสร้างราคา แต่ยังส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้เสีย ทิ้งสินเชื่อ และทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อมูลค่าทรัพย์สินของตนเอง

หากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผลกระทบจะรุนแรงและซับซ้อนกว่ามาก อสังหาริมทรัพย์ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าทั่วไป แต่เป็นสินทรัพย์ชิ้นใหญ่ที่มีมูลค่าสูง และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ “Wealth Effect” หรือผลกระทบต่อความมั่งคั่งของครัวเรือน เมื่อราคาบ้านลดลง ผู้คนจะรู้สึกว่าความมั่งคั่งของตนเองลดลง มีความมั่นคงทางการเงินน้อยลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยลดลงตามไปด้วย หากผู้คน “รู้สึกจนลง” จากการที่มูลค่าบ้านที่เคยเป็นความภาคภูมิใจและหลักประกันลดลง พวกเขาก็จะไม่กล้าบริโภค ไม่กล้าลงทุน ซึ่งจะกลายเป็นวงจรลบที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจให้หมุนลงเรื่อยๆ ดังเช่นกรณีศึกษาที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศ

ในขณะนี้ เราอาจจะยังไม่เห็น ‘สงครามราคาบ้าน’ เต็มรูปแบบสำหรับโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ซึ่งผู้ประกอบการอาจยังพยายามรักษาราคาไว้ แต่สัญญาณที่ชัดเจนคือการแข่งขันลดราคาในโครงการเก่า คอนโดมิเนียมเก่า หรือบ้านมือสองที่ต้องการระบายสต็อกออกมาสู่ตลาดอย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง สิ่งนี้สร้างแรงกดดันต่อภาพรวมของราคาตลาด และหากผู้ประกอบการรายเล็กหรือรายกลางที่มีสภาพคล่องจำกัด จำเป็นต้องยอมลดราคาอย่างรุนแรงเพื่อความอยู่รอด ก็อาจจุดชนวนให้เกิด ‘สงครามราคาบ้าน’ ที่แท้จริงขึ้นได้ และยังอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นกู้อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นช่องทางการระดมทุนที่สำคัญของผู้ประกอบการ

มุมมองสถาบันการเงิน: การบริหารจัดการสินเชื่อในภาวะท้าทาย

จากประสบการณ์ตรงในแวดวงการเงิน ผมเห็นว่าธนาคารพาณิชย์กำลังเผชิญกับทางสองแพร่งในการบริหารจัดการสินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงไทยได้สะท้อนภาพรวมว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ การเปิดโครงการใหม่ลดลง สอดคล้องกับความต้องการซื้อที่ลดลง ซึ่งเป็นความท้าทายที่ส่งผลต่อการใช้จ่ายและภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ธนาคารเริ่มเห็นแนวโน้มที่ประชาชนนำสินทรัพย์มาแปลงเป็นสภาพคล่องมากขึ้น เช่น บริการ “บ้านแลกเงิน” (Home for Cash) ซึ่งสะท้อนความต้องการเงินสดของผู้บริโภค และชี้ให้เห็นว่าทิศทาง NPL ของกลุ่มสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ในโหมดประคับประคอง

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ก็ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ยอดปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ (New Loan) มีการหดตัวถึง 15% ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างยังทรงตัวที่ 0% ซึ่งสอดคล้องกับยอดขายบ้านใหม่ที่ลดลงถึง 15-20% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) สิ่งนี้บังคับให้ธนาคารต้องปรับกลยุทธ์โดยหันไปขยายตลาดในกลุ่มบ้านมือสองมากขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นตลาดที่มีเสถียรภาพมากกว่าในภาวะปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม แม้บ้านมือสองจะดูมีเสถียรภาพ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ธนาคารจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษในการพิจารณา “การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน” ให้ถูกต้องตามกลไกตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเข้มงวดกับ “คุณสมบัติลูกค้า” ให้แน่ใจว่าเป็นลูกค้าที่ต้องการกู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง ไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไร ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ ธนาคารจำเป็นต้อง “ตั้งการ์ดเข้ม” ขึ้น และดูแลคุณภาพพอร์ตสินเชื่อของตนเองอย่างใกล้ชิด

ข้อมูลที่น่าตกใจคือ สถานการณ์สินเชื่อบ้านในปัจจุบัน “แย่กว่าช่วงวิกฤตโควิด-19” ด้วยซ้ำไป เนื่องจากในตลาดมีสต็อกที่อยู่อาศัยจำนวนมากที่สร้างเสร็จแล้วแต่ยังขายไม่ออก และกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านราคาต่ำกว่า 3-4 ล้านบาทกลับมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงมาก เพราะมี DSR เกินเกณฑ์ ในขณะที่กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงกว่า 70,000-100,000 บาท ซึ่งซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงมีอัตราการอนุมัติสินเชื่อที่ดีอยู่ และมีความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีกว่า

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่านี่คือการทดสอบครั้งสำคัญของระบบการเงินและอสังหาริมทรัพย์ไทย หากเราไม่สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงนี้ได้ดีพอ ผลกระทบอาจลามเป็นลูกโซ่ และทำให้ ‘สงครามราคาบ้าน’ ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” โดยรวม

เกมระยะยาว: กลยุทธ์สำหรับผู้พัฒนา ผู้ซื้อ และนักลงทุน

ภายใต้สถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อ ‘สงครามราคาบ้าน’ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่รัดกุมและมองการณ์ไกล

สำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์:
บริหารจัดการสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ: การเร่งระบายสต็อกเก่าด้วยการลดราคาอาจเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาสภาพคล่อง แต่ต้องระวังไม่ให้ทำลายโครงสร้างราคาตลาดจนเกินไป
เน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์: โครงการใหม่ควรเน้นความต้องการที่แท้จริงของตลาด (Real Demand) ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพและกลุ่มราคาที่ยังมีกำลังซื้อ เช่น อสังหาฯ ทำเลทอง ใกล้ระบบขนส่งมวลชน หรือรองรับเทรนด์การทำงานแบบ Hybrid Work
มองหาช่องทางระดมทุนที่หลากหลาย: การพึ่งพิงหุ้นกู้อาจมีความเสี่ยงมากขึ้นในภาวะตลาดผันผวน การพิจารณาแหล่งเงินทุนอื่นๆ หรือการร่วมทุนกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญ
นำ Digital Transformation มาใช้: การใช้เทคโนโลยีในการตลาด การขาย และการบริหารจัดการโครงการ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้

สำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัย:
ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด: นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเปรียบเทียบราคาและข้อเสนอจากผู้ประกอบการ การทำ “การวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ” ด้วยตนเอง หรือปรึกษา “ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์” ที่เชื่อถือได้ จะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
ประเมินความพร้อมทางการเงินอย่างรอบคอบ: ตรวจสอบภาระหนี้ DSR และความสามารถในการชำระหนี้อย่างสม่ำเสมอ หากเป็นไปได้ ให้เตรียมเงินดาวน์ให้มากที่สุดเพื่อลดภาระสินเชื่อ และมองหา “สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ” หรือโอกาสในการ “รีไฟแนนซ์บ้าน” ที่ดีขึ้นในอนาคต
พิจารณาบ้านมือสอง: ในช่วงที่ ‘สงครามราคาบ้าน’ กำลังคุกคาม โอกาสในการได้บ้านมือสองคุณภาพดีในราคาที่สมเหตุสมผลมีสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องมีการ “การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน” ที่โปร่งใสและตรวจสอบสภาพบ้านอย่างละเอียด

สำหรับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์:
มองหาโอกาสลงทุนอสังหาฯ ระยะยาว: ตลาดขาลงอาจเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมในการสะสมสินทรัพย์ โดยเฉพาะ “อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า” ในทำเลที่มีศักยภาพการเติบโต หรือในกลุ่ม “กองทุนอสังหาริมทรัพย์” ที่มีการบริหารจัดการที่ดี
Diversify Portfolio: ไม่ควรกระจุกการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทเดียวหรือทำเลเดียว การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ
ทำความเข้าใจ “การวางแผนการเงินอสังหาฯ”: การมีกลยุทธ์ทางภาษีและบริหารจัดการกระแสเงินสดที่ดี จะช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ระมัดระวังการเก็งกำไรระยะสั้น: ในสภาวะตลาดที่อ่อนไหว การเก็งกำไรระยะสั้นมีความเสี่ยงสูงมาก นักลงทุนควรเน้นการสร้างผลตอบแทนจากกระแสรายรับ (Rental Yield) มากกว่าการหวังกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain)

มองไปข้างหน้า: เส้นทางสู่การฟื้นตัวและความแข็งแกร่ง

แม้สัญญาณของ ‘สงครามราคาบ้าน’ จะดูน่ากังวล แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยก็มีปัจจัยสนับสนุนที่จะช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ ในปี 2569 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมีแรงหนุนจากการท่องเที่ยว การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และนโยบายที่อาจผ่อนคลายลง เช่น อัตราดอกเบี้ยที่อาจเริ่มปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ และกระตุ้น “กำลังซื้อ” ที่อยู่อาศัยให้กลับมาได้บางส่วน

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และตลาดจะยังคงเน้นความต้องการที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) เป็นหลัก โครงการที่มีราคาเหมาะสมกับกำลังซื้อและตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะ “ตลาดบ้านกรุงเทพฯ” และ “อสังหาฯ ปริมณฑล” ที่ยังคงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ จะยังคงเป็นที่ต้องการ

ในระยะยาว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงมีศักยภาพจากปัจจัยพื้นฐานที่ดี ทั้งการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือการที่ทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทั้งภาครัฐ สถาบันการเงิน และผู้ประกอบการ ในการบริหารจัดการหนี้เสีย “การบริหารหนี้เสีย” (NPL Management) อย่างเป็นระบบ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และการส่งเสริมการลงทุนที่มีคุณภาพเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาด

บทเรียนจาก ‘สงครามราคาบ้าน’ (House Price War) ในอุตสาหกรรมยานยนต์แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับตัวและการสร้างภูมิคุ้มกัน หากผู้ประกอบการและสถาบันการเงินสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างชาญฉลาด ควบคู่ไปกับการที่ผู้บริโภคมีการวางแผนทางการเงินที่ดี ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็จะสามารถก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้ และกลับมาเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาโอกาสในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ทั้งในฐานะผู้ซื้อหรือนักลงทุน การทำความเข้าใจเชิงลึกในทุกมิติของตลาดถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่ง อย่ารอช้าที่จะศึกษาข้อมูลล่าสุด และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ หากคุณมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ หรือโอกาสในการ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ ทีมงานของเรายินดีให้ “ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์” อย่างมืออาชีพเพื่อนำทางคุณสู่การตัดสินใจที่มั่นคงและมีประสิทธิภาพสูงสุด

Previous Post

D1512089 รถม อสอง ญญาณหวง ep1 part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D1512090 ไม oแบบน คงจะด part2
  • D1512089 รถม อสอง ญญาณหวง ep1 part2
  • D1512088 รถม อสอง ญญาณหวง ep2 part2
  • D1512087 nโคม แต โดนบ งค บให บบร จาคร างกาย คนเป นพ อจ งทำส งน ep1 part2
  • D1512086 กโคม แต โดนบ งค บให บบร จาคร างกาย คนเป นพ อจ งทำส งน ep2 part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.