ฝ่ามรสุม “ตลาดอสังหาริมทรัพย์”: กลยุทธ์นวัตกรรมและความยั่งยืน ปรับฐานสู่การเป็นเจ้าของบ้านยุคใหม่
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการพลิกผันของ “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่ท้าทายเท่าห้วงเวลานี้ สถานการณ์ปัจจุบันเป็นมากกว่าวัฏจักรขาลงทั่วไป มันคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงลึกที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้บริโภค สถาบันการเงิน ไปจนถึงผู้พัฒนาโครงการ บทความนี้จะเจาะลึกถึงวิกฤตการณ์ที่กำลังถาโถม แนวทางการรับมือด้วยนวัตกรรม และวิสัยทัศน์แห่งความยั่งยืน ซึ่งกำลังขับเคลื่อน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ไทยให้ก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้
ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลง: วิกฤตสินเชื่อและหนี้ครัวเรือนฉุดรั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์
เมื่อกล่าวถึง “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ในช่วงปี 2568-2569 สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือแรงกดดันมหาศาลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค “หนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งสูงทำสถิติ การเติบโตของรายได้ที่ไม่ทันกับ “ค่าครองชีพ” ที่เพิ่มขึ้น และภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงผันผวน ล้วนบีบรัด “กำลังซื้อผู้บริโภค” ให้ถดถอยลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตัวเลข “การปฏิเสธสินเชื่อ” ที่สูงเป็นประวัติการณ์ในกลุ่ม “อสังหาริมทรัพย์ราคาเข้าถึงง่าย” หรือตลาดแมส เป็นเครื่องสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดถึงวิกฤตการณ์นี้ สำหรับบางทำเล เช่น “อสังหาริมทรัพย์บางใหญ่” อัตราการปฏิเสธสินเชื่อแนวราบสูงถึง 80% ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ชี้ว่าความฝันในการ “เป็นเจ้าของบ้าน” กำลังเลือนลางสำหรับคนจำนวนมาก
ผมมองว่านี่ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านความต้องการที่อยู่อาศัยที่หายไป แต่เป็น “ความสามารถในการกู้” ที่ถูกบั่นทอนจากโครงสร้างทางการเงินส่วนบุคคลที่เปราะบาง การเข้าถึง “สินเชื่อที่อยู่อาศัย” กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการขยายตัวของ “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม “ผู้ซื้อบ้าน” ที่ต้องการที่อยู่อาศัยหลังแรก หรือกลุ่มคนวัยสร้างตัว ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ชะลอการตัดสินใจซื้อ แต่ยังผลักดันให้คนจำนวนมากติดอยู่ในวงจร “การเช่า” ไปอีกหลายปี ความท้าทายนี้กระตุ้นให้ “ผู้ประกอบการอสังหาฯ” ต้องคิดค้น “นวัตกรรมที่อยู่อาศัย” และ “โซลูชั่นการเงินบ้าน” รูปแบบใหม่เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ
Next Solution: กลไกขับเคลื่อนการเป็นเจ้าของบ้านแห่งอนาคต
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก ผมได้เห็นความพยายามของผู้ประกอบการชั้นนำอย่าง “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” ที่เลือกที่จะไม่ยอมจำนนต่อสถานการณ์ แต่กลับพลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการนำเสนอโมเดล “Next Solution” ซึ่งเป็นการปรับกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อ “เพิ่มโอกาสการกู้ซื้อบ้าน” ให้กับผู้บริโภค โมเดลนี้ไม่ใช่แค่การปรับปรุงเล็กน้อย แต่เป็นการ “วางแผนทางการเงินเพื่อซื้อบ้าน” และสร้างสะพานเชื่อมให้ลูกค้าเข้าถึง “สินเชื่อที่อยู่อาศัย” ได้จริงในอนาคต
LivNext (เช่าออมบ้าน): สร้างเครดิต เปลี่ยนความฝันให้เป็นจริง
“LivNext” หรือ “เช่าออมบ้าน” คือหัวใจสำคัญของ “Next Solution” เป็นการตอบโจทย์ปัญหา “การปฏิเสธสินเชื่อ” อย่างตรงจุด โมเดลนี้เปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ยังไม่พร้อมสำหรับ “การกู้ซื้อบ้าน” ในวันนี้ สามารถผ่อนชำระกับโครงการได้ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษผ่านบัญชีธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหลักใน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” การผ่อนชำระอย่างสม่ำเสมอนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อ “สร้างเครดิต” ที่ดีให้กับลูกค้า ทำให้พวกเขามีประวัติทางการเงินที่น่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องยื่นขอ “สินเชื่อที่อยู่อาศัย” เต็มรูปแบบในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
สิ่งที่น่าสนใจของโมเดลนี้คือการทำงานร่วมกับบริษัทเงินสดใจดี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อวิเคราะห์ “การเงินส่วนบุคคล” และศักยภาพของลูกค้าอย่างใกล้ชิด พร้อมให้คำแนะนำด้านพฤติกรรมทางการเงินตลอดกระบวนการ นี่คือมิติใหม่ของการดูแลลูกค้าที่ลึกซึ้งกว่าแค่การขายบ้าน แต่เป็นการเป็น “ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์” และ “ที่ปรึกษาทางการเงิน” ไปในตัว จากข้อมูลพบว่าภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปี มีลูกค้ากว่า 100 ยูนิตที่สามารถ “กู้ผ่าน” และโอนกรรมสิทธิ์ได้จริง ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าคนที่เคย “กู้ไม่ผ่าน” ไม่ได้หมายความว่าจะกู้ไม่ผ่านตลอดไป แต่ต้องการเวลาและการสนับสนุนในการปรับปรุงฐานข้อมูลทางการเงินของตนเอง
“LivNext” ไม่เพียงช่วยรักษา “ยอดขายอสังหาริมทรัพย์” ที่อาจสูญเสียไปกว่า 2,000 ล้านบาท แต่ยังช่วยขยับฐานลูกค้าจากกลุ่มราคา 1-2 ล้านบาท ไปสู่กลุ่ม 3-4 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการซื้อบ้านยังคงมีอยู่สูงใน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” แต่ติดเพียงปัญหาด้านเงื่อนไขเครดิตเท่านั้น การลงทุนในโมเดลเช่นนี้จึงเป็นการ “ลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ในมิติของความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว
RentNext (เช่าพร้อมสิทธิ์ซื้อ): ความยืดหยุ่นที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่
ควบคู่ไปกับ “LivNext” คือ “RentNext” หรือ “เช่าพร้อมสิทธิ์ซื้อ” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่แสดงถึงความเข้าใจในความต้องการของ “ผู้ซื้อบ้าน” ที่หลากหลาย โมเดลนี้ให้ความยืดหยุ่นที่เหนือกว่าการเช่าทั่วไป โดยอนุญาตให้ลูกค้าสามารถนำค่าเช่ามาหักเป็น “เงินดาวน์” หรือ “เงินต้น” เมื่อตัดสินใจ “ซื้ออสังหาริมทรัพย์” นั้นๆ โดยสามารถนำค่าเช่ามาหักเงินต้นได้ 100% หากซื้อยูนิตเดิม หรือ 50% หากย้ายไปซื้อโครงการอื่นในเครือของเสนา
“RentNext” ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการ “การเช่า” ในทำเลศักยภาพสูง เช่น “อสังหาริมทรัพย์พระราม 9” “อสังหาริมทรัพย์บางนา” “อสังหาริมทรัพย์รังสิต” และนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีความต้องการเช่าสูงและมีความเสี่ยงต่ำ แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ “ทรัพย์สินรอการขาย” ของบริษัท โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ “โครงการบ้านกรุงเทพ” หรือ “คอนโดใกล้รถไฟฟ้า” การใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เดิมเพื่อสร้างรายได้ใหม่ (Economy of Scope) ด้วย Gross Margin สูงถึง 80% เป็นตัวอย่างที่ดีของ “โมเดลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ช่วยลดต้นทุนการตลาดและเพิ่มกระแสเงินสดให้กับบริษัทในยามที่ “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ยังคงซบเซา
กลยุทธ์รัดเข็มขัดและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในตลาดอสังหาริมทรัพย์
นอกจาก “Next Solution” แล้ว “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” ยังแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในการ “บริหารสินทรัพย์” และการปรับตัวทางกลยุทธ์สำหรับปี 2569 โดยการ “ชะลอการเปิดโครงการใหม่” และหันมาให้ความสำคัญกับการ “ระบายสต็อก” ที่สร้างเสร็จแล้วมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “คอนโดมิเนียม” และ “บ้านพร้อมอยู่” กว่า 5,000 ยูนิต การปรับปรุง “ยูนิตเดิม” เช่น การรีโนเวตเฟอร์นิเจอร์ การปรับ Layout และการทำการตลาดแบบตรงกลุ่มมากขึ้น เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้ “สินค้าอสังหาริมทรัพย์” สอดรับกับความต้องการและกำลังซื้อที่เปลี่ยนแปลงไปใน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ณ ปัจจุบัน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและวิสัยทัศน์ของผู้ประกอบการที่เชื่อว่าการพัฒนา “โครงการอสังหาฯ” ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการสร้างสิ่งใหม่เสมอไป แต่ยังรวมถึงการเพิ่มคุณค่าและประสิทธิภาพให้กับสิ่งที่มีอยู่ การจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสภาพคล่องและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรใน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ที่ท้าทาย
ความยั่งยืน: มาตรฐานใหม่ของการอยู่อาศัยในตลาดอสังหาริมทรัพย์
อีกหนึ่ง “เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ 2025” ที่โดดเด่นและเป็นสิ่งที่ “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” ได้ให้ความสำคัญอย่างจริงจังคือ “ความยั่งยืน” การติดตั้ง “โซลาร์เซลล์” และแบตเตอรี่เก็บพลังงานเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ “บ้านในกลุ่มราคาแกรนด์” ทุกหลัง ไม่ใช่เพียงแค่การตอบรับกระแส “พลังงานสะอาด” เท่านั้น แต่เป็นการช่วย “ลดภาระค่าครองชีพ” ให้กับผู้อยู่อาศัยในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นประเด็นที่ “ผู้ซื้อบ้าน” ให้ความสำคัญอย่างมากในยุคที่ “ค่าครองชีพ” พุ่งสูง
โมเดล “บ้านโซลาร์เซลล์” หรือ “บ้านประหยัดพลังงาน” นี้เป็นมากกว่าแค่จุดขาย แต่เป็นการยกระดับบทบาทของ “ผู้ประกอบการอสังหาฯ” ให้เป็น “Life Long Trusted Partner” ที่ดูแลคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในมิติต่างๆ ไม่ใช่แค่พัฒนา “โครงการจัดสรร” หรือ “โครงการบ้านเดี่ยว” เท่านั้น การดำเนินงานด้าน “Waste Management” ในทุกโครงการยังเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้าง “อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน” และรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่ม “ความน่าเชื่อถือ” และ “การยอมรับ” ในสายตาของผู้บริโภคและ “นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์”
บทบาทภาครัฐและการวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต
เมื่อมองไปข้างหน้า การฟื้นตัวของ “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ไทยยังคงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการจากภาครัฐ การแก้ปัญหา “หนี้ครัวเรือน” และ “สินเชื่อที่ตึงตัว” เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก หากรัฐบาลสามารถจัดตั้ง “AMC” (Asset Management Company) เพื่อซื้อ “หนี้เสีย” หรือปรับโครงสร้างหนี้ภาคครัวเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยปลดล็อก “กำลังซื้อผู้บริโภค” ได้อย่างมหาศาล
นอกจากนี้ การพิจารณา “ลดดอกเบี้ย” ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีผลโดยตรงต่อ “DSR” (Debt Service Ratio) และ “ความสามารถในการกู้” ของลูกค้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้น “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ให้กลับมาคึกคักได้อีกครั้ง ผมเชื่อว่า “การวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์” อย่างรอบด้าน และการประสานงานระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับภาคธุรกิจนี้ในระยะยาว
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในวงการ ผมเน้นย้ำว่าสิ่งที่ “ผู้ประกอบการอสังหาฯ” ต้องทำในเวลานี้คือการ “ปรับตัวเชิงรุก” และ “มองหาวิธีช่วยเหลือลูกค้า” ให้มีโอกาสก้าวเข้าสู่ระบบสินเชื่อได้มากขึ้น ดังเช่นที่ “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” ได้ดำเนินการผ่าน “Next Solution” ซึ่งเป็นการ “วางรากฐานที่มั่นคง” ให้กับ “ผู้บริโภค” ในระยะยาว แม้จะต้องใช้เวลา 2-3 ปีในการเตรียมความพร้อม แต่ก็เป็นการสร้าง “เส้นทางสู่การเป็นเจ้าของบ้าน” ที่ชัดเจนและยั่งยืน
สรุป: สร้างโอกาสใหม่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเปลี่ยนผ่าน
“ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ซับซ้อน แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ “นวัตกรรม” “ความยืดหยุ่น” “ความรอบคอบ” และ “ความยั่งยืน” คือหัวใจสำคัญที่จะนำพาธุรกิจนี้ก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ไปได้ การที่ “ผู้ประกอบการอสังหาฯ” เข้าใจ Pain Point ของ “ผู้ซื้อบ้าน” และคิดค้น “โซลูชั่นการเงินบ้าน” รูปแบบใหม่ๆ อย่าง “LivNext” และ “RentNext” ไม่ใช่แค่การรอดตาย แต่คือการสร้าง “มาตรฐานใหม่” ให้กับ “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ที่เอื้อต่อ “การเป็นเจ้าของบ้าน” สำหรับทุกคนมากขึ้น
ในฐานะ “ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์” ผมเชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริง จะเป็นผู้ที่ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งใน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง หากคุณกำลังมองหาโอกาสในการ “ลงทุนอสังหาริมทรัพย์” หรือกำลังฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง การศึกษาโมเดลและแนวคิดเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นทิศทางและเตรียมพร้อมสำหรับการตัดสินใจที่สำคัญใน “เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ 2025” และอนาคตที่กำลังจะมาถึง
หากคุณคือหนึ่งในผู้ที่กำลังมองหา “โอกาสในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์” หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “การวางแผนทางการเงินเพื่อซื้อบ้าน” ในยุคที่ “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” กำลังปรับตัวครั้งใหญ่ อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกและ “กลยุทธ์การตลาดอสังหาริมทรัพย์” ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ เพื่อให้คุณสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจในภูมิทัศน์อสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่นี้

