เจาะลึกกลยุทธ์ Next Solution เสนาฯ: เขย่าวงการอสังหาฯ ช่วยคนไทยเป็นเจ้าของบ้านอย่างยั่งยืนในยุค 2025
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของตลาดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกท้าทายและซับซ้อนเท่าช่วงเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2025 ที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ภาพรวมที่เต็มไปด้วยปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจมหภาค และที่สำคัญที่สุดคือปัญหาสินเชื่อที่ตึงตัว ซึ่งได้กลายเป็น “เพนพอยต์” หลักของคนอยากมีบ้าน ภายใต้บริบทนี้ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ เสนาฯ ได้ก้าวออกมานำเสนอแนวคิดที่โดดเด่นและกล้าหาญ ด้วย กลยุทธ์ Next Solution เสนาฯ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแผนธุรกิจธรรมดา แต่คือการสร้าง “สะพาน” แห่งโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถก้าวข้ามอุปสรรคทางการเงินและบรรลุความฝันในการเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างแท้จริง
วิกฤตการณ์อสังหาริมทรัพย์ไทย: ความท้าทายที่รอการแก้ไข
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปัจจุบันไม่ได้เผชิญแค่การชะลอตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจทั่วไป แต่กำลังดำดิ่งสู่ภาวะที่ ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้นิยามไว้ว่า “ทรหดยิ่งกว่าวิกฤติรอบใด” ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่ลดลง แต่เป็น “ความสามารถในการกู้” ของผู้บริโภคที่ถูกบั่นทอนลงอย่างหนักจากหลายปัจจัย ทั้งหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ การเติบโตของรายได้ที่ไม่ทันค่าครองชีพและราคาที่อยู่อาศัย รวมถึงนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน
จากข้อมูลที่เราเห็นในตลาด แนวราบในบางทำเล เช่น บางใหญ่ ตัวเลขการปฏิเสธสินเชื่อพุ่งสูงถึง 80% ซึ่งเป็นสถิติที่น่าตกใจอย่างยิ่ง ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมก็ยังคงมีอัตราปฏิเสธสินเชื่อเฉลี่ยราว 50% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของกำลังซื้อในกลุ่มตลาดแมสอย่างชัดเจน ผู้ประกอบการที่ทำตลาดในเซกเมนต์นี้จึงต้องเผชิญกับยอดขายที่ชะลอตัวและสต็อกสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ความฝันของการเป็นเจ้าของบ้านหลังแรกของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางกลายเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ
ในมุมมองของนักวิเคราะห์ การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ในระยะอันใกล้นี้ยังคงเป็นไปได้ยากหากไม่มีการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของหนี้ครัวเรือนและปรับปรุงเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อให้ยืดหยุ่นขึ้น บทบาทของภาครัฐในการออกมาตรการช่วยเหลือที่ตรงจุดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาระ DSR (Debt Service Ratio) ของผู้กู้ หรือการจัดตั้งองค์กรบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อเข้ามาบริหารจัดการหนี้เสียอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยปลดล็อกกำลังซื้อของผู้บริโภคได้อย่างมหาศาล
“Next Solution” เสนาฯ: กลไกขับเคลื่อนสู่การเป็นเจ้าของบ้านของทุกคน
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ เสนาฯ กลับไม่ได้เลือกที่จะถอดใจ แต่เลือกที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทาย กลยุทธ์ Next Solution เสนาฯ คือหัวใจสำคัญของการปรับตัวครั้งนี้ ซึ่งประกอบด้วย 2 โมเดลหลักที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ “LivNext” (เช่าออมบ้าน) และ “RentNext” (เช่าพร้อมสิทธิ์ซื้อ) แนวคิดเบื้องหลังคือการ “โยนบันได” ลงไปให้ลูกค้า แทนที่จะปล่อยให้ลูกค้าหลุดจากระบบและต้องเช่าที่อยู่อาศัยไปอีกนานปี ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งใน “เพนพอยต์” ของผู้บริโภคและมุ่งมั่นที่จะเป็น “Life Long Trusted Partner” อย่างแท้จริง
นี่คือนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยให้คนที่มีศักยภาพ แต่ติดปัญหาเรื่องเครดิตทางการเงินหรือเงินดาวน์ สามารถสร้างโอกาสในการเป็นเจ้าของบ้านได้ ผมมองว่านี่คือมิติใหม่ของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่ได้มองแค่การสร้างและขาย แต่คือการสร้าง “โอกาส” และ “ทางออก” ให้กับลูกค้า ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
LivNext: บันไดสู่เครดิตทางการเงินและความฝันที่เป็นจริง
โมเดล “LivNext” หรือ “เช่าออมบ้าน” คือกลไกที่เสนาฯ ออกแบบมาเพื่อพลิกโฉมยอดปฏิเสธสินเชื่อให้กลายเป็นยอดขายที่จับต้องได้ แนวคิดคือการให้ลูกค้าผ่อนชำระกับโครงการในอัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจประมาณ 1.8% ผ่านบัญชีธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่การเช่า แต่คือการสร้างวินัยทางการเงินและประวัติเครดิตที่ดีขึ้นระหว่างที่ลูกค้ารอความพร้อมในการยื่นกู้สินเชื่อจริงในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่า LivNext ตอบโจทย์ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างชาญฉลาด เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อจะ “กู้ไม่ได้ตลอดไป” แต่หลายคนแค่ต้องการเวลาและการชี้แนะในการปรับฐานข้อมูลทางการเงินให้ถูกต้อง โปรแกรมนี้จึงมีการตรวจสอบและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดจากบริษัทเงินสดใจดีในเครือเสนาฯ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย มีการวิเคราะห์ศักยภาพลูกค้าและติดตามความคืบหน้าทุก 6 เดือน พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องพฤติกรรมการเงิน เพื่อให้ลูกค้าสามารถสร้างประวัติเครดิตที่ดีและมีความพร้อมสำหรับการยื่นขอสินเชื่อบ้านในอนาคต
ผลลัพธ์ของ LivNext เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพของโมเดลนี้ ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการประมาณ 1,000 ยูนิต และที่น่าประทับใจคือมีผู้ที่สามารถกู้ผ่านและโอนกรรมสิทธิ์ได้จริงแล้วถึง 100 ยูนิต ภายในเวลาไม่ถึงสองปี นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญ ช่วยให้ความฝันในการเป็นเจ้าของบ้านของคนหลายร้อยครอบครัวกลายเป็นจริง และในเชิงธุรกิจ LivNext ยังช่วยรักษายอดขายที่อาจสูญไปกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงและสร้างรายได้ใหม่จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกจากนี้ เรายังเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในกลุ่มฐานลูกค้าของ LivNext ที่เริ่มขยับจากกลุ่มราคา 1-2 ล้านบาท ไปสู่กลุ่ม 3-4 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการมีบ้านไม่ได้ลดลง แต่ติดปัญหาเพียงเงื่อนไขด้านเครดิตเท่านั้น หากผู้ประกอบการสามารถออกแบบ “นวัตกรรมอสังหาริมทรัพย์” ที่ช่วยแก้ Pain Point เหล่านี้ได้ ก็ยังมีโอกาสอีกมากในตลาด
RentNext: ยืดหยุ่นทุกการตัดสินใจ มิติใหม่ของการเช่าเพื่อซื้อ
อีกหนึ่งโมเดลที่เข้ามาเสริม กลยุทธ์ Next Solution เสนาฯ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นคือ “RentNext” ซึ่งเป็นการ “เช่าที่มากกว่าการเช่า” โดยมอบความยืดหยุ่นให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนใจมาเป็นเจ้าของได้ในอนาคต โดยมีเงื่อนไขที่น่าสนใจคือ การนำค่าเช่าที่จ่ายไปมาหักเงินต้นได้ 100% หากตัดสินใจซื้อยูนิตเดียวกันที่กำลังเช่าอยู่ หรือหักได้ 50% หากเลือกย้ายไปซื้อโครงการอื่นในเครือของเสนาฯ
RentNext ตอบโจทย์ลูกค้าอีกกลุ่มที่อาจจะยังไม่แน่ใจว่าจะซื้อเลยดีหรือไม่ หรือต้องการทดลองใช้ชีวิตในโครงการนั้นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ โมเดลนี้ช่วยลดความเสี่ยงให้กับลูกค้า และยังเป็นการสร้าง “โอกาสลงทุนอสังหาฯ 2025” ในระยะกลางสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการตัดสินใจ การที่ค่าเช่าสามารถนำมาเป็นส่วนลดเงินต้นได้ ถือเป็นแรงจูงใจที่สำคัญ ทำให้การเช่าไม่ใช่แค่การจ่ายเงินทิ้งไป แต่เป็นการ “ออม” ไปในตัว ผมมองว่านี่คือการพลิกโฉมแนวคิดการเช่า ที่เคยถูกมองว่าเป็นภาระ ให้กลายเป็นก้าวแรกสู่การเป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งกับผู้เช่าและผู้ประกอบการ
ในแง่ของผลตอบแทนทางธุรกิจ LivNext และ RentNext สร้างรายได้รวมประมาณ 80-100 ล้านบาทต่อปี และที่โดดเด่นคือมี Gross Margin สูงถึง 80% ซึ่งเป็นผลจากการนำทรัพย์สินเดิมที่มีอยู่มาใช้สร้างรายได้ใหม่ ลดต้นทุนการตลาดที่ไม่จำเป็น และเพิ่มการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ (Economy of Scope) ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยโครงการเหล่านี้มักตั้งอยู่ในทำเลที่ได้รับความนิยมในการเช่าสูง ใกล้แหล่งงานและสถาบันการศึกษา เช่น พระราม 9, บางนา, นิคมอุตสาหกรรม และรังสิต ซึ่งมีความต้องการเช่าค่อนข้างมากและมีความเสี่ยงต่ำ ทำให้กลายเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงให้กับเสนาฯ
วิสัยทัศน์ปี 2569: เสนาฯ กับการปรับหมากรุกอสังหาฯ อย่างชาญฉลาด
การก้าวเข้าสู่ปี 2569 เสนาฯ เลือกดำเนินกลยุทธ์อย่างระมัดระวังและรอบคอบ โดยจะชะลอการเปิดโครงการใหม่ลง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่เลื่อนมาจากปีก่อนหน้า หรือเป็นเฟสต่อเนื่องจากโครงการเดิม แทนที่จะขยายพอร์ตเพิ่มเติม ซึ่งผมมองว่านี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องและแสดงถึงประสบการณ์ของผู้นำในอุตสาหกรรมในภาวะตลาดเช่นนี้ การรักษา สภาพคล่องทางการเงินให้แข็งแกร่งและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารจัดการ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการเร่งเปิดโครงการใหม่ๆ
เสนาฯ หันมามุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าคงคลังที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วกว่า 5,000 ยูนิต มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยกว่า 70% เป็นคอนโดมิเนียม การดำเนินการปรับปรุงยูนิตเดิมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การรีโนเวทเฟอร์นิเจอร์ ปรับ Layout ไปจนถึงการทำตลาดแบบตรงกลุ่มมากขึ้น เพื่อให้สินค้าสอดรับกับความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ดร.เกษรา ได้กล่าวไว้อย่างน่าคิดว่า “ปกติแล้วผู้พัฒนาโครงการจะเกิดคอนเซ็ปต์ใหม่ในโครงการใหม่ แต่เราไม่ควรต้องคิดแบบนั้น การที่เราไม่มีโครงการใหม่ไม่ได้หมายความว่าจำเป็นต้องหยุดพัฒนา” ซึ่งสะท้อนถึงความคิดนอกกรอบและความเป็นนักบริหารจัดการอสังหาฯ ที่แท้จริง
การบริหารจัดการอสังหาฯ ในภาวะเช่นนี้ ต้องการความละเอียดและเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง การนำ “การเงินสำหรับอสังหาริมทรัพย์” เข้ามาผสมผสานกับการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ การตลาดแบบเจาะจง และการให้ “ปรึกษาการเงินอสังหาฯ” แก่ลูกค้า จะช่วยให้เสนาฯ สามารถระบายสต็อกเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสในการเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์เดิม แทนที่จะแบกรับภาระต้นทุนดอกเบี้ยจากสต็อกที่ค้างนาน
อสังหาฯ ยั่งยืน: DNA สำคัญของ เสนาฯ ในโลกยุคใหม่
อีกหนึ่งแนวโน้มสำคัญที่เสนาฯ มุ่งมั่นเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งคือเรื่องของ “อสังหาฯ ยั่งยืน” ดร.เกษรา ยืนยันว่าบ้านในกลุ่มราคาแกรนด์ทุกหลังของเสนาฯ มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่เก็บพลังงานเป็นมาตรฐานใหม่ ซึ่งผมถือว่าเป็นการลงทุนที่ก้าวหน้าและตอบโจทย์เทรนด์โลกอย่างแท้จริงในยุคที่พลังงานสะอาดและค่าครองชีพเป็นปัจจัยสำคัญ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเห็นว่าการนำ Smart Home Solutions มาใช้ ไม่ใช่แค่เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับผู้อยู่อาศัย แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว ซึ่งจะกลายเป็นจุดแข็งในการแข่งขันของตลาด พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น “ความจำเป็น” ในปัจจุบันและอนาคต ผู้บริโภคยุคใหม่มีความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมและต้องการบ้านที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวมากขึ้นเรื่อยๆ เสนาฯ จึงเป็นผู้บุกเบิกในด้านนี้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าแนวทาง Waste Management ในทุกโครงการ ซึ่งเป็นการยกระดับบทบาทของบริษัทในฐานะ “Life Long Trusted Partner” ที่ไม่เพียงพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังดูแลคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงาน การจัดการสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย นี่คือสิ่งที่สร้างความแตกต่างและสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาวให้กับแบรนด์
ถอดรหัสเศรษฐกิจ-การเมือง: ข้อเสนอเพื่อพลิกฟื้นตลาดอสังหาฯ
เมื่อพูดถึงมุมมองด้านสภาพเศรษฐกิจและการเมือง ดร.เกษรา ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจและตรงไปตรงมาในฐานะนักธุรกิจที่อยู่ในสนามจริง มาตรการรัฐที่ส่งผลต่อภาคอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ซึ่งมีการออกมาตรการผ่อนปรนไปแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าและเป็นหัวใจของการแก้ปัญหาคือการจัดการกับปัญหาหนี้ครัวเรือนและสินเชื่อที่ตึงตัวเกินไป
ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ว่า หากรัฐบาลสามารถตั้ง AMC เพื่อเข้ามาซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงิน หรือปรับโครงสร้างหนี้ให้เกิดผลจริง จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคได้อย่างมหาศาล เพราะจะช่วยปลดภาระหนี้เดิมและเปิดโอกาสให้ผู้คนกลับเข้าสู่ระบบสินเชื่อได้อีกครั้ง นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะมีผลโดยตรงต่อภาระ DSR และช่วยให้ลูกค้าสามารถกู้ผ่านได้ง่ายขึ้น นี่คือมาตรการระยะสั้นที่สามารถกระตุ้นตลาดได้อย่างทันท่วงที ควบคู่ไปกับมาตรการระยะยาวเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ
การมองหาสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง หรือการให้การสนับสนุน “ซื้อบ้านหลังแรก” ด้วยเงื่อนไขพิเศษจากภาครัฐ ก็เป็นอีกแนวทางที่สามารถพิจารณาได้ เพื่อช่วยให้คนไทยจำนวนมากที่กำลังติดอยู่ในภาวะ “กู้ไม่ผ่าน” ได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น
ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง: บทสรุปและคำเชิญชวน
ท้ายที่สุด ดร.เกษรา เน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกอบการในช่วงเวลานี้คือการปรับตัวเชิงรุกและมองหาวิธีช่วยให้ลูกค้ามีโอกาสก้าวเข้าสู่ระบบสินเชื่อได้มากขึ้น ดังเช่นที่เสนาฯ ได้ขับเคลื่อน กลยุทธ์ Next Solution เสนาฯ เพื่อประคองกำลังซื้อในกลุ่ม Affordable และสร้างเส้นทางให้ลูกค้าได้เตรียมความพร้อมในการยื่นกู้จริง แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลา 2-3 ปี แต่ถือเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับผู้บริโภคในระยะยาว
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อมั่นว่าการที่ภาคธุรกิจและภาครัฐทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในมิติของการ การเงินสำหรับอสังหาริมทรัพย์ และการสนับสนุนการเป็นเจ้าของบ้าน จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ท่ามกลางสภาพตลาดที่ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว การสร้างเครื่องมือช่วยเหลือและเสริมศักยภาพให้ลูกค้าจึงเป็นบทบาทที่ภาคธุรกิจสามารถทำได้ทันที และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยให้ตลาดกลับมาเดินหน้าอย่างยั่งยืนในอนาคต
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาโอกาสในการเป็นเจ้าของบ้าน หรือผู้ประกอบการที่กำลังมองหาแนวทางใหม่ๆ ในการรับมือกับความท้าทายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในยุคนี้ ผมขอเชิญชวนให้ศึกษาและทำความเข้าใจ กลยุทธ์ Next Solution เสนาฯ อย่างลึกซึ้ง เพราะนี่คือต้นแบบของการสร้างสรรค์โซลูชันที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ธุรกิจ แต่คือการสร้าง “โอกาส” และ “คุณภาพชีวิต” ที่ดีขึ้นให้กับคนไทย หากท่านต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมหรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนการเงินเพื่อการเป็นเจ้าของบ้าน อย่าลังเลที่จะติดต่อ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อค้นหาเส้นทางที่ใช่สำหรับคุณ.

