การพลิกเกมในตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2025: กลยุทธ์นวัตกรรมเพื่อการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงผันผวนของตลาดมาหลายระลอก แต่ไม่มีครั้งไหนที่จะท้าทายเท่ากับสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้คนจำนวนมากต้องเผชิญกับอุปสรรคในการเป็นเจ้าของบ้านในฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหา ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ที่เข้าถึงได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางและหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง บทความนี้จะเจาะลึกถึงภูมิทัศน์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2025 โดยเฉพาะในตลาดแมสที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด พร้อมวิเคราะห์กลยุทธ์เชิงรุกของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำอย่าง บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ เสนาฯ ที่ได้รังสรรค์ ‘Next Solution’ ขึ้นมาเพื่อเป็นสะพานเชื่อมให้คนไทยสามารถเข้าถึง ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ และเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างแท้จริง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืนในระยะยาว
ภูมิทัศน์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2025: วิกฤตสินเชื่อที่อยู่อาศัยและทางออกที่ต้องสร้างสรรค์
ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2025 ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยที่ยังผันผวน และที่สำคัญที่สุดคือปัญหา ‘หนี้ครัวเรือน’ ที่พุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณา ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ส่งผลให้ ‘อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ’ สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดแมสหรือกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงน้อย ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Housing)
จากข้อมูลที่ได้มีการนำเสนอ อัตราปฏิเสธสินเชื่อในโครงการแนวราบของบางทำเลยอดนิยม เช่น โซนบางใหญ่ พุ่งสูงถึง 80% และแม้แต่ในตลาดคอนโดมิเนียมยอดนิยมอย่าง ‘คอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ’ ก็ยังพบตัวเลขเฉลี่ยสูงถึง 50% นี่ไม่ใช่สัญญาณว่าความต้องการ ‘ซื้อบ้าน’ ได้หายไป แต่เป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า “ความสามารถในการกู้ซื้อบ้าน” ของผู้บริโภคลดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากรายได้ของคนส่วนใหญ่เติบโตไม่ทันกับราคาบ้านที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงภาระหนี้สินเดิมที่มีอยู่จำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถแบกรับภาระ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ใหม่ได้อีกต่อไป ผู้ประกอบการอสังหาฯ จึงจำเป็นต้องคิดนอกกรอบ เพื่อหา ‘ทางออกปัญหาซื้อบ้าน’ ที่เป็นรูปธรรม
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่านี่คือช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่การชะลอตัวตามวัฏจักรปกติ แต่เป็นการเข้าสู่ยุคที่ต้องสร้างกลไกใหม่ๆ เพื่อฟื้นกำลังซื้อและลดความเสี่ยงจากการปฏิเสธ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืนของทั้งอุตสาหกรรมและสังคมโดยรวม การมองหา ‘โอกาสลงทุนอสังหาฯ’ ในช่วงเวลาเช่นนี้จึงต้องมาพร้อมกับการทำความเข้าใจ ‘เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ 2025’ ที่เน้นการแก้ปัญหาผู้บริโภคเป็นหัวใจสำคัญ
เสนาฯ กับ “Next Solution”: กลไกฟื้นกำลังซื้อและเปิดประตูสู่สินเชื่อที่อยู่อาศัย
ท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่ผู้คนจำนวนมากต้องเผชิญกับกำแพงของการเข้าถึง ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ เสนาฯ ได้ก้าวออกมาพร้อมกับโมเดล “Next Solution” ซึ่ง ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้นิยามไว้อย่างน่าสนใจว่าเป็นการ “โยนบันไดลงไปให้ลูกค้าขึ้นมากู้บ้านได้” แทนที่จะปล่อยให้ลูกค้าต้องติดอยู่ในวงจรการเช่าไปอีกหลายปี นี่คือแนวคิดที่ก้าวหน้าและแสดงถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง ‘Pain Point คนซื้อบ้านยุควิกฤต’ ที่ต้องการ ‘ทางออกปัญหาซื้อบ้าน’ ที่จับต้องได้
“Next Solution” ประกอบด้วยสองกลไกหลักที่ทำงานเสริมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ LivNext (เช่าออมบ้าน) และ RentNext (เช่าพร้อมสิทธิ์ซื้อ) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามองใน ‘การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์’ ยุคใหม่
LivNext (เช่าออมบ้าน): สร้างเครดิตทางการเงินเพื่อสินเชื่อที่อยู่อาศัยในอนาคต
LivNext ถูกออกแบบมาเพื่อพลิกโฉมยอดปฏิเสธ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ให้กลายเป็นยอดขายที่จับต้องได้ แนวคิดคือการให้ลูกค้าผ่อนชำระกับโครงการในอัตราดอกเบี้ยพิเศษราว 1.8% ผ่านบัญชีของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหลักที่สนับสนุน ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ สำหรับประชาชน กระบวนการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการผ่อนชำระธรรมดา แต่เป็นการ “สร้างเครดิตทางการเงิน” ที่แข็งแกร่งให้กับลูกค้าอย่างเป็นระบบ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและอสังหาริมทรัพย์ ผมมองว่านี่คือหัวใจสำคัญของ LivNext การที่ลูกค้าสามารถผ่อนชำระอย่างสม่ำเสมอและมีวินัยผ่านบัญชี ธอส. จะช่วยให้พวกเขามีประวัติทางการเงินที่ดีขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องยื่นขอ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ เต็มจำนวนในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยเสนาฯ ยังได้ทำงานร่วมกับบริษัทเงินสดใจดี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพลูกค้าอย่างใกล้ชิด ติดตามความคืบหน้าทุก 6 เดือน และให้คำแนะนำเรื่องพฤติกรรมทางการเงิน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญในการยกระดับความน่าเชื่อถือของผู้กู้
ผลลัพธ์ของ LivNext ไม่ได้มีเพียงแค่ตัวเลขทางสถิติ แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและโอกาสใหม่ๆ ปัจจุบันโครงการมีลูกค้าประมาณ 1,000 ยูนิต และมีผู้ที่สามารถกู้ผ่าน ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ และโอนกรรมสิทธิ์ได้จริงแล้ว 100 ยูนิต ภายในเวลาไม่ถึงสองปี นี่คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าผู้ที่เคยถูกปฏิเสธ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะ ‘กู้ไม่ได้ตลอดไป’ หากแต่ต้องการเวลาและการสนับสนุนในการปรับฐานข้อมูลและพฤติกรรมทางการเงินให้ถูกต้อง การที่ LivNext สามารถรักษายอดขายที่อาจสูญเสียไปกว่า 2,000 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าทางธุรกิจที่มหาศาล และยังช่วยขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มราคา 1-2 ล้านบาท ไปสู่กลุ่ม 3-4 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการมีบ้านไม่ได้ลดลง แต่ติดปัญหาเงื่อนไขด้านเครดิตและการเข้าถึง ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ เท่านั้น
RentNext (เช่าพร้อมสิทธิ์ซื้อ): ความยืดหยุ่นที่มากกว่าการเช่า
คู่ขนานไปกับ LivNext คือ RentNext ซึ่งเป็นโมเดลการเช่าที่มอบความยืดหยุ่นและโอกาสในการเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ลูกค้าที่เช่ากับ RentNext มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนใจซื้อยูนิตที่เช่าอยู่ได้ในภายหลัง โดยสามารถนำค่าเช่ามาหักเงินต้นได้ 100% หากตัดสินใจซื้อยูนิตเดิม หรือ 50% หากเลือกซื้อโครงการอื่นในเครือของเสนาฯ นี่คือแนวคิดที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ยังไม่มั่นใจในกำลังซื้อระยะยาว หรือต้องการทดลองใช้ชีวิตในโครงการก่อนตัดสินใจผูกมัดกับ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ก้อนใหญ่
ในเชิงธุรกิจ RentNext แสดงให้เห็นถึง ‘การใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์’ (Economy of Scope) ได้อย่างชาญฉลาด โดยนำทรัพย์สินเดิมที่สร้างเสร็จแล้วมาสร้างรายได้ใหม่ พร้อมลดต้นทุนการตลาด และเพิ่มอัตราการเข้าพักในทำเลที่ได้รับความนิยมในการเช่า เช่น ทำเลทอง ‘อสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ’ ใกล้แหล่งงานและสถาบันการศึกษา อย่างพระราม 9, บางนา, นิคมอุตสาหกรรม และรังสิต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการเช่าสูงและมีความเสี่ยงต่ำ รายได้รวมจาก LivNext และ RentNext อยู่ราว 80-100 ล้านบาทต่อปี แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ Gross Margin ที่สูงถึง 80% เนื่องจากเป็นการนำทรัพย์สินที่มีอยู่เดิมมาสร้างมูลค่าเพิ่มโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากนัก นับเป็นการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าที่ยอดเยี่ยม
กลยุทธ์เชิงรุกสำหรับปี 2569 (2026): รัดเข็มขัดพร้อมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน
สำหรับยุทธศาสตร์ในปี 2569 หรือ 2026 เสนาฯ เลือกเดินหน้าอย่างระมัดระวังและเน้นความมั่นคง โดยจะมีการเปิดโครงการใหม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ชะลอมาจากปีก่อนหน้า หรือเป็นเฟสต่อเนื่องจากโครงการเดิม แทนที่จะขยายพอร์ตเพิ่มเติม การรักษาสภาพคล่องและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ‘สต็อกสินค้าคงคลัง’ ที่มีอยู่กว่า 5,000 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท (โดยมากกว่า 70% เป็นคอนโดมิเนียม) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญ
ดร.เกษรา ได้กล่าวไว้ว่า “ปกติแล้วผู้พัฒนาโครงการจะเกิดคอนเซ็ปต์ใหม่ในโครงการใหม่ แต่เราไม่ควรต้องคิดแบบนั้น การที่เราไม่มีโครงการใหม่ไม่ได้หมายความว่าจำเป็นต้องหยุดพัฒนา” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งในฐานะผู้ ‘ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์’ การปรับปรุงยูนิตเดิมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรีโนเวตเฟอร์นิเจอร์ ปรับ Layout ให้ทันสมัย หรือการทำการตลาดแบบตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อให้สินค้าตอบรับกับความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป คือการ ‘พัฒนาอสังหาริมทรัพย์’ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
ความมุ่งมั่นสู่ ‘อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน’ และลดภาระ ‘ค่าครองชีพ’
อีกหนึ่งเทรนด์สำคัญที่เสนาฯ มุ่งมั่นและถือเป็นมาตรฐานใหม่ของ ‘การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์’ คือการผลักดัน ‘ความยั่งยืน’ โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านราคาแกรนด์ทุกหลังที่ได้รับการติดตั้ง ‘โซลาร์เซลล์’ และ ‘แบตเตอรี่เก็บพลังงาน’ เป็นมาตรฐาน นี่ไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นการตอบโจทย์ ‘ค่าครองชีพ’ ที่สูงขึ้นของผู้บริโภคและกระแสความตระหนักเรื่อง ‘พลังงานสะอาดบ้าน’ ที่กำลังมาแรง การลดภาระค่าไฟฟ้าในระยะยาว ถือเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อของผู้บริโภคทางอ้อม และทำให้ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ที่แม้จะสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็คุ้มค่าในระยะยาว
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าแนวทาง Waste Management ในทุกโครงการ เพื่อยกระดับบทบาทของตนเองในฐานะ “Life Long Trusted Partner” ที่ไม่เพียงแค่ ‘พัฒนาอสังหาริมทรัพย์’ แต่ยังดูแลคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในมิติต่างๆ นี่คือปัจจัยสำคัญในการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือในระยะยาว สอดรับกับแนวคิด EEAT (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ที่ Google ให้ความสำคัญในการจัดอันดับเนื้อหาออนไลน์
มุมมองด้านเศรษฐกิจและการเมือง: แรงหนุนและการปลดล็อก ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’
เมื่อพิจารณาถึงมุมมองด้านสภาพเศรษฐกิจและการเมือง ดร.เกษรา ได้เน้นย้ำถึงมาตรการรัฐที่ส่งผลต่อภาคอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง ‘ค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง’ ซึ่งได้มีการออกมาแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าและเป็นหัวใจหลักในการแก้ปัญหาคือการแก้ไขปัญหา ‘หนี้ครัวเรือน’ และภาวะ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ที่ตึงตัวเกินไป หากรัฐบาลสามารถตั้ง AMC (Asset Management Company) เพื่อซื้อหนี้เสีย หรือปรับโครงสร้างหนี้ให้เกิดผลจริง จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคได้อย่างมหาศาล และทำให้ประชาชนกลับมามีศักยภาพในการขอ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ อีกครั้ง
นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญ เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อ DSR (Debt Service Ratio) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการชำระหนี้ และจะช่วยให้ลูกค้าสามารถกู้ผ่าน ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ได้ง่ายขึ้นในที่สุด การ ‘วิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์’ อย่างรอบด้านเช่นนี้ จะช่วยให้เห็นว่าการแก้ปัญหาในภาพรวมต้องมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันการเงิน และ ‘ผู้ประกอบการอสังหาฯ’ เอง
การสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับผู้บริโภคและการลงทุนอสังหาฯ
ท้ายที่สุด ดร.เกษรา ได้เน้นย้ำถึงสิ่งสำคัญที่ ‘ผู้ประกอบการอสังหาฯ’ ควรทำในช่วงเวลานี้ คือการปรับตัวเชิงรุกและมองหาวิธีช่วยให้ลูกค้ามีโอกาสก้าวเข้าสู่ระบบ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ได้มากขึ้น เช่นเดียวกับที่เสนาฯ เดินหน้าด้วยกลยุทธ์ Next Solution เพื่อประคองกำลังซื้อในกลุ่ม ‘ที่อยู่อาศัยราคาเข้าถึง’ และสร้างเส้นทางให้ลูกค้าได้เตรียมความพร้อมในการยื่นกู้จริง แม้ว่าอาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี แต่ถือเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับผู้บริโภคในระยะยาว ซึ่งจะนำไปสู่ ‘โอกาสลงทุนอสังหาฯ’ ที่ยั่งยืนในอนาคต
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอย้ำว่า ‘การจัดการหนี้สิน’ ที่ดี ควบคู่ไปกับการ ‘สร้างเครดิตทางการเงิน’ ที่แข็งแกร่ง คือกุญแจสำคัญสำหรับผู้ที่ใฝ่ฝันอยากมีบ้าน การที่ ‘ผู้ประกอบการอสังหาฯ’ เข้ามามีบทบาทในการเป็น ‘ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์’ ที่ช่วยนำทางลูกค้าให้ผ่านพ้นอุปสรรคทางการเงิน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ ‘ตลาดอสังหาริมทรัพย์’ กลับมาเดินหน้าได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต การมองหา ‘สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ’ หรือ ‘คอนโดใกล้รถไฟฟ้า’ ในทำเลศักยภาพที่มาพร้อมกับโปรแกรมสนับสนุนการเข้าถึง ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ที่ดี ถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด
บทสรุปและก้าวต่อไปสำหรับผู้สนใจที่อยู่อาศัย
วิกฤตการณ์ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ ในปัจจุบันอาจดูน่ากังวล แต่ในความท้าทายนั้นกลับมีโอกาสสำหรับผู้ที่พร้อมปรับตัวและมองหา ‘ทางออกปัญหาซื้อบ้าน’ ด้วยนวัตกรรมที่เสนาฯ ได้นำเสนอผ่าน “Next Solution” เราได้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการสร้างโอกาสและเสริมศักยภาพให้กับผู้บริโภคคือบทบาทที่ภาคธุรกิจสามารถทำได้ทันที และจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน ‘ตลาดอสังหาริมทรัพย์’ ให้ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างมั่นคง
สำหรับท่านที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึง ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ และกำลังมองหา ‘โครงการบ้านราคาประหยัด’ หรือ ‘คอนโดมิเนียม’ ในทำเลที่ใช่ ผมขอแนะนำให้ท่านศึกษาโมเดล “Next Solution” และโครงการที่อยู่อาศัยจาก ‘ผู้ประกอบการอสังหาฯ’ ที่มีวิสัยทัศน์เช่นเสนาฯ เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนการเงินและ ‘สร้างเครดิตทางการเงิน’ ของท่านให้พร้อมสำหรับการเป็นเจ้าของบ้านในฝัน
หากท่านมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ‘สินเชื่อที่อยู่อาศัย’ แนวทาง ‘การจัดการหนี้สิน’ หรือต้องการคำแนะนำจาก ‘ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์’ ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และความสามารถในการผ่อนชำระของท่าน อย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกและคำปรึกษาที่จะช่วยให้ความฝันของการมีบ้านของท่านกลายเป็นความจริงได้เร็วยิ่งขึ้น เราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาท่านไปสู่เป้าหมายแห่งการมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงและยั่งยืน.
