เจรจาภาษีไทย-สหรัฐฯ: บทเรียนจากความขัดแย้งชายแดนและความท้าทายภูมิรัฐศาสตร์ในปี 2025
ในฐานะที่คลุกคลีในแวดวงการค้าระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์มานานกว่าทศวรรษ ผมอดไม่ได้ที่จะเฝ้าติดตามสถานการณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการระงับการ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ชั่วคราว ซึ่งมีชนวนมาจากประเด็นความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของตัวเลขการค้าหรืออัตราภาษีนำเข้าส่งออกเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงพลวัตที่ซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ข้อถกเถียงเชิงหลักการ และความท้าทายในการบริหารจัดการผลประโยชน์แห่งชาติในเวทีโลกที่ผันผวนอย่างรวดเร็วในปี 2025
เมื่อปลายปี 2025 ท่าทีของสหรัฐฯ ที่เชื่อมโยงประเด็นการค้าเข้ากับความมั่นคงชายแดน นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อ่อนไหว การประกาศระงับการ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ อย่างกะทันหัน พร้อมเงื่อนไขให้ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชา ได้สร้างความผิดหวังให้กับฝ่ายไทย ซึ่งยืนยันมาโดยตลอดว่าประเด็นทั้งสองควรแยกออกจากกัน ในบทความนี้ ผมจะพาท่านเจาะลึกถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของสถานการณ์นี้ พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบในมิติต่างๆ และประเมินแนวทางที่ไทยจะสามารถก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดแตกหัก: เมื่อการค้าและความมั่นคงถูกผูกโยงกัน
หัวใจของความขัดแย้งครั้งนี้อยู่ที่มุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ โดยการนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนบนแพลตฟอร์ม Truth Social และในการหารือระดับผู้นำ ว่าไม่สามารถเดินหน้า เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ได้ หากประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชายังคงคุกรุ่น ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องทุ่นระเบิดที่ยังคงเป็นข้อพิพาทสำคัญตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา การเชื่อมโยงการค้ากับประเด็นความมั่นคงและมนุษยธรรมเช่นนี้ ถือเป็นกลยุทธ์ที่สหรัฐฯ มักนำมาใช้เพื่อกดดันประเทศคู่ค้าในประเด็นที่ตนให้ความสำคัญระดับโลก
ในทางกลับกัน ฝ่ายไทยยืนกรานมาโดยตลอดว่า ประเด็นความมั่นคง โดยเฉพาะข้อพิพาททวิภาคีกับกัมพูชา ควรถูกพิจารณาแยกออกจากประเด็นการค้า ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยและสหรัฐฯ ข้อตกลงสันติภาพที่กล่าวถึงนั้น ไทยได้ชี้แจงว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงก่อน โดยเฉพาะเรื่องการเก็บกู้และไม่ติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ ซึ่งส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัส การที่ไทยเชิญผู้สังเกตการณ์อาเซียนลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ยิ่งตอกย้ำถึงความพยายามของไทยในการแก้ไขปัญหาตามกลไกทวิภาคีและภูมิภาค สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงหลักการสำคัญของนโยบายต่างประเทศไทยที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาในภูมิภาคด้วยกันเอง โดยไม่ต้องการให้มหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงโดยตรงในประเด็นทวิภาคีที่ละเอียดอ่อน ผมมองว่าจุดยืนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาอธิปไตยและการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างสมดุล
การระงับการ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน (Agreement on Reciprocal Trade Framework) ที่มุ่งหวังจะลงนามภายในปี 2025 เท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในความสัมพันธ์ที่ยาวนานกว่า 200 ปีระหว่างสองประเทศนี้ การที่สหรัฐฯ ได้ลงนามข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนกับกัมพูชาไปก่อนหน้านี้ ยิ่งสร้างความกังวลว่าไทยอาจถูกโดดเดี่ยวหรือเสียเปรียบในเชิงกลยุทธ์การค้าในภูมิภาค ผมเชื่อว่าสถานการณ์เช่นนี้ต้องการการบริหารจัดการความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างรอบคอบจากภาคเอกชน และการวางกลยุทธ์การค้าโลกที่รัดกุมจากภาครัฐ
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ดุลการค้าและการบริหารความเสี่ยง
เมื่อพูดถึงเรื่องการค้า ผลกระทบจากการระงับการ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ ในปี 2024 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 41,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท) โดยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 10 ของโลกไปยังสหรัฐฯ ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของตลาดสหรัฐฯ สำหรับเศรษฐกิจไทย การที่สหรัฐฯ อาจเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทนในอัตรา 19% เท่ากับกัมพูชา ย่อมส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกหลักของเรา
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการค้าระหว่างประเทศ ผมมองว่าผู้ประกอบการไทยที่พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ ควรเตรียมรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างจริงจัง การเพิ่มต้นทุนด้วยภาษีนำเข้าส่งออก 19% อาจทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือช่วงเวลาที่ธุรกิจต้องพิจารณากลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ การกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งการปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดผลกระทบ นอกจากนี้ ภาครัฐเองก็ต้องเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ความล่าช้าในการ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม การสนับสนุนบริการนำเข้าส่งออกที่มีประสิทธิภาพ และการให้คำปรึกษาการลงทุนแก่ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ จะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้
นอกจากการค้าสินค้าแล้ว ประเด็นแร่หายาก (critical minerals) ซึ่งเป็นหัวข้อความร่วมมือใหม่ที่ไทยและสหรัฐฯ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อปลายปี 2025 ก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน ไทยมีศักยภาพในการพัฒนาภาคส่วนนี้ ซึ่งเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงทั่วโลก หากความสัมพันธ์ตึงเครียดขึ้น โอกาสในการดึงดูดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการถ่ายทอดเทคโนโลยีในภาคส่วนนี้ก็อาจชะลอตัว ซึ่งจะเป็นการพลาดโอกาสทางธุรกิจไทยที่สำคัญ
ภูมิรัฐศาสตร์ในบริบทของความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ: สมดุลที่ต้องรักษาระหว่างมหาอำนาจ
ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ หยั่งรากลึกมานานกว่าสองศตวรรษ โดยมีสนธิสัญญามะนิลาปี 1954 เป็นรากฐานของความมั่นคง และสนธิสัญญาไมตรีปี 1966 เป็นรากฐานของการลงทุนที่เอื้ออำนวย ซึ่งช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของภาคการผลิตไทย ไทยเป็นหนึ่งในสองพันธมิตรตามสนธิสัญญาของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังคงเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการฝึกซ้อมรบร่วมที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้มักถูกทดสอบด้วยวัฏจักรของการเมืองภายในประเทศ ทั้งการรัฐประหารและความไม่สงบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของสหรัฐฯ ต่อเสถียรภาพของไทย
จากประสบการณ์ของผม ประเด็นการเมืองภายในประเทศมักเป็นปัจจัยที่สหรัฐฯ ใช้ในการประเมินความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตร การที่ไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และมีแผนจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า (อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์เมื่อปลายปี 2025) ยิ่งทำให้สถานการณ์มีความละเอียดอ่อน ท่ามกลางบริบทภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไทยยังต้องบริหารความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดให้สมดุล ในขณะที่รักษาความเป็นพันธมิตรเก่าแก่กับสหรัฐฯ
การระงับการ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่ประเด็นการค้า แต่เป็นส่วนหนึ่งของเกมภูมิรัฐศาสตร์ที่ใหญ่กว่า การที่สหรัฐฯ ต้องการให้ไทยและกัมพูชาแก้ไขปัญหาชายแดนโดยเร็ว ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เองด้วย ในขณะเดียวกัน ไทยก็ต้องยืนหยัดบนหลักการของการไม่แทรกแซงและใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหา การดึงมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเข้ามาร่วมหารือ เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการสร้างฉันทามติระดับภูมิภาคและลดแรงกดดันจากมหาอำนาจภายนอก
กลยุทธ์การรับมือ: การทูตเชิงรุกและผลประโยชน์แห่งชาติ
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ ไทยจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์การทูตเชิงรุกและยืนหยัดบนผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ จากการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของไทยในการชี้แจงจุดยืนและสร้างความเข้าใจ
นายกรัฐมนตรีไทยได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นในสันติภาพ แต่ก็ยืนยันว่ากัมพูชาต้องยอมรับข้อเท็จจริงและรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องทุ่นระเบิดที่ไทยต้องการเข้าไปเก็บกู้ใน 13 พื้นที่ที่เคยตกลงกันไว้ นี่คือหัวใจสำคัญของข้อตกลงสันติภาพที่ไทยต้องการเห็นการปฏิบัติตาม เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย
ในส่วนของการรับมือกับประเด็น เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้ยืนยันว่า กระทรวงเศรษฐกิจจะยังคงเดินหน้าเจรจาต่อไป โดยเน้นย้ำถึงความตั้งใจของไทยที่จะแยกแยะเรื่องชายแดนออกจากการเจรจาการค้า การใช้กลไกทวิภาคีหารือกับกัมพูชาควบคู่ไปกับการสื่อสารกับสหรัฐฯ และมาเลเซีย เป็นแนวทางที่ถูกต้องในการบริหารจัดการความขัดแย้งอย่างรอบด้าน
จากประสบการณ์ในการทำงาน ผมเชื่อว่าไทยต้องตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการปฏิรูปภายในประเทศ ทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อสร้างเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือในสายตาของนานาชาติ การแก้ไขรัฐธรรมนูญและการเดินหน้าสู่การเลือกตั้งที่โปร่งใส จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ให้กลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมนวัตกรรม และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนไทย จะเป็นรากฐานที่มั่นคงในการเผชิญกับความท้าทายทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต
ก้าวต่อไปสำหรับประเทศไทย: การปรับสมดุลและสร้างโอกาสใหม่
สถานการณ์การระงับ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า ในโลกปัจจุบัน ประเด็นการค้า การลงทุน ความมั่นคง และมนุษยธรรม มักจะเกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก ในฐานะประเทศที่มีเศรษฐกิจเปิดและเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียน ไทยต้องมีนโยบายต่างประเทศที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้รวดเร็ว เพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติสูงสุด
ผมมองว่า สิ่งที่ไทยต้องทำในระยะถัดไปมีหลายประการ:
การทูตเชิงรุกและหลายช่องทาง: นอกจากช่องทางทวิภาคีกับสหรัฐฯ และกัมพูชาแล้ว การประสานงานกับกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างแรงกดดันต่อกัมพูชาให้ปฏิบัติตามข้อตกลง และแสดงให้สหรัฐฯ เห็นถึงความจริงจังของไทยในการแก้ไขปัญหา
การยืนหยัดในหลักการ: ไทยต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและสอดคล้องกันว่า การค้าควรแยกออกจากประเด็นความมั่นคงชายแดน แต่ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบและจริงจังในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงชายแดนไปพร้อมกัน
การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ: แม้สหรัฐฯ จะเป็นตลาดส่งออกสำคัญ แต่ไทยก็ไม่ควรมุ่งพึ่งพิงเพียงตลาดเดียว การเร่งรัดการเจรจา FTA กับพันธมิตรอื่น ๆ และการเปิดตลาดใหม่ ๆ จะช่วยลดผลกระทบจากการที่ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ หยุดชะงัก
การสร้างความเข้มแข็งภายใน: การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย และการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง เป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุน และทำให้ไทยเป็นหุ้นส่วนที่น่าเชื่อถือในสายตานานาชาติ
การสื่อสารที่โปร่งใส: การชี้แจงข้อมูลที่ชัดเจนและสม่ำเสมอทั้งต่อประชาชนในประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ จะช่วยสร้างความเข้าใจและลดความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น
ในระยะยาว ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ยังคงมีศักยภาพและมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อทั้งสองฝ่าย ประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการทดสอบความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์เท่านั้น ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าด้วยการทูตที่ชาญฉลาด การยืนหยัดบนหลักการที่ถูกต้อง และการบริหารจัดการผลประโยชน์แห่งชาติอย่างรอบคอบ ไทยจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ และกลับมาเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในมิติที่กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนนี้ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศและที่ปรึกษาการลงทุน เพื่อวางแผนรับมือกับผลกระทบจากการระงับ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้ เราพร้อมให้คำแนะนำและกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ธุรกิจของคุณยังคงดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและเติบโตในทุกสภาวการณ์ หากคุณต้องการเจาะลึกถึงโอกาสทางธุรกิจไทยและกลยุทธ์การค้าโลกในสถานการณ์ปัจจุบัน โปรดติดต่อเราเพื่อขอรับคำปรึกษาเฉพาะทาง.

![D1210022 จฉาคนอ ไม วเอง [ตอน1] part2](https://dungthailan.vansonnguyen.com/wp-content/uploads/2025/12/image-454.png)