ทางแพร่งของความสัมพันธ์: วิเคราะห์ผลกระทบและการรับมือเมื่อการเจรจาภาษีไทย-สหรัฐฯ ถูกระงับ
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงการค้าระหว่างประเทศมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นพัฒนาการและความผันผวนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคู่ค้าสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง และในวันนี้ ผมขอนำเสนอภาพเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรง นั่นคือการที่สหรัฐอเมริการะงับ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ชั่วคราว โดยโยงเข้ากับประเด็นละเอียดอ่อนเรื่องข้อตกลงสันติภาพกัมพูชา การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกรุงเทพฯ และวอชิงตัน ดี.ซี. เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบที่ซับซ้อนต่อภูมิทัศน์เศรษฐกิจและการเมืองของไทยในอนาคตอันใกล้
เหตุการณ์สำคัญเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2025 ที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากรองผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ถึงการระงับการเจรจากรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ (Agreement on Reciprocal Trade Framework) ชั่วคราว ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าการค้าและเศรษฐกิจ กำลังถูกผูกโยงเข้ากับมิติความมั่นคงอย่างแยกไม่ออกในสายตาของชาติมหาอำนาจ สหรัฐฯ กำหนดเงื่อนไขไว้อย่างชัดเจนว่าการเจรจาจะกลับมาดำเนินการได้อีกครั้งเมื่อฝ่ายไทยให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามถ้อยแถลงเพื่อสันติภาพกับกัมพูชา ความเคลื่อนไหวนี้สร้างความผิดหวังให้กับฝ่ายไทยอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยยืนกรานมาโดยตลอดว่าประเด็นด้านความมั่นคง โดยเฉพาะข้อพิพาททวิภาคีกับกัมพูชา ควรแยกออกจากประเด็นการค้า ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ
ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ การเชื่อมโยงประเด็นการค้าเข้ากับความมั่นคงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในเวทีโลก แต่เป็นกลยุทธ์ที่สหรัฐฯ มักนำมาใช้เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์อื่น ๆ การที่อดีตผู้นำสหรัฐฯ อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ เคยโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างชัดเจนถึงการไม่สามารถเจรจาการค้ากับไทยและกัมพูชาได้หากยังคงมีการสู้รบกันอยู่ สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดนี้อย่างชัดเจน แม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันจะยืนยันกับนายกรัฐมนตรีไทยว่าไม่ได้ประสงค์จะแทรกแซงปัญหาทวิภาคี แต่การระงับ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ก็เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการกดดันให้ไทยทบทวนจุดยืน ความทตกลงการค้าต่างตอบแทนซึ่งเคยตั้งเป้าว่าจะลงนามให้เสร็จสิ้นภายในปี 2025 อาจต้องล่าช้าออกไปอย่างไม่มีกำหนด สวนทางกับกัมพูชาที่ได้ลงนามข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับสหรัฐฯ ไปก่อนหน้านี้เมื่อ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา สิ่งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ไทยจะต้องมี “นโยบายการค้าต่างประเทศ” ที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น
เบื้องลึกความขัดแย้งไทย-กัมพูชา: ปัจจัยเร่งที่กระทบความสัมพันธ์โลก
หัวใจสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ตัดสินใจระงับ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ในครั้งนี้ คือประเด็นความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะการที่ไทยประกาศระงับข้อตกลงสู่สันติภาพกับกัมพูชา ผมได้วิเคราะห์รายละเอียดจากที่นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ชี้แจงต่อประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุว่าไทยได้พยายามยึดมั่นในสันติภาพมาโดยตลอด แต่กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงที่สำคัญ โดยเฉพาะในประเด็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและข้อตกลงไม่ติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่บริเวณแนวชายแดน ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่ระบุไว้ในปฏิญญาที่มาเลเซีย
เหตุการณ์ล่าสุดที่ทหารไทยลาดตระเวนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบทุ่นระเบิดที่เชื่อว่ามีการลักลอบติดตั้งใหม่ ได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ไทยต้องสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการที่จำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตย การเชิญคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็เป็นความพยายามของไทยในการสร้างความโปร่งใสและแสดงให้ประชาคมโลกเห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ แต่เมื่ออีกฝ่ายบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงและไม่ยอมเปิดพื้นที่ 13 แห่งที่ตกลงกันไว้ให้ไทยเข้าดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ความตึงเครียดจึงยากจะหลีกเลี่ยง
สถานการณ์นี้ไม่เพียงเป็นข้อพิพาททวิภาคี แต่ยังถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “ภูมิรัฐศาสตร์” ที่ซับซ้อนในภูมิภาค ซึ่งสหรัฐฯ เองก็มีผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องรักษา การที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในประเด็นนี้ โดยเฉพาะการกดดันผ่านช่องทางการค้า แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงของพันธมิตรในภูมิภาคมีความสำคัญต่อวอชิงตัน ดี.ซี. อย่างยิ่ง การโทรศัพท์หารือระหว่างนายกรัฐมนตรีอนุทินกับประธานาธิบดีทรัมป์ และต่อเนื่องกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย (ในฐานะประธานอาเซียน) สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามทางการทูตของไทยในการอธิบายจุดยืนและแสวงหาแนวทางออก แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทางออกที่ยั่งยืนจะขึ้นอยู่กับท่าทีของกัมพูชาเป็นสำคัญ การบริหาร “ความเสี่ยงทางการค้า” ที่ผูกโยงกับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด
ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ไม่อาจมองข้าม: เมื่อภาษีกลายเป็นเกมการเมือง
การระงับ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ย่อมส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมหาศาล และเป็นคู่ค้าอันดับที่ 10 ของโลก ในปี 2024 ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่าสูงถึง 57,700 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าเพียง 16,200 ล้านดอลลาร์ ทำให้ไทยเกินดุลประมาณ 41,500 ล้านดอลลาร์ การที่สหรัฐฯ อาจเรียกเก็บ “มาตรการภาษี” ตอบโต้ในอัตรา 19% เท่ากับกัมพูชา ย่อมสร้าง “ผลกระทบภาษีนำเข้า” อย่างรุนแรงต่อ “เศรษฐกิจไทย” โดยเฉพาะในภาคการส่งออกที่พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ สูง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน “กลยุทธ์การส่งออก” ผมมองว่าผลกระทบจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเก็บภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึง:
ขีดความสามารถในการแข่งขัน: สินค้าไทยจะราคาสูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลักของไทย เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน อาหารแปรรูป และสินค้าเกษตร
ความเชื่อมั่นของนักลงทุน: การที่ความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศคู่ค้าสำคัญติดขัด ย่อมส่งผลต่อ “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)” โดยนักลงทุนอาจลังเลที่จะขยายฐานการผลิตในไทย หรือมองหาทางเลือกในประเทศอื่นที่มีความเสถียรทางการค้ามากกว่า ซึ่งอาจกระทบต่อ “โอกาสทางธุรกิจในไทย” ในระยะยาว
การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน: ผู้ประกอบการส่งออกอาจต้องเร่งปรับตัว โดยการหาตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพิงสหรัฐฯ หรือมองหาช่องทางการลดต้นทุนการผลิตเพื่อชดเชยภาษีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องอาศัย “การวิเคราะห์ตลาดโลก” ที่แม่นยำและการวางแผนเชิงรุก
ต้นทุนการดำเนินธุรกิจ: ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นในการดำเนินงาน ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรลดลง หรือต้องผลักภาระไปให้ผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้ความต้องการสินค้าลดลงในระยะยาว
การบริหารความเสี่ยงทางการค้า: เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความสำคัญของการมี “การบริหารความเสี่ยงทางการค้า” ที่รัดกุม ไม่ว่าจะเป็นการประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน การสำรองเงินทุน และการกระจายความเสี่ยงของตลาดส่งออก การปรึกษา “ที่ปรึกษาการค้าระหว่างประเทศ” เพื่อวางแผนเชิงรุกจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง
การแก้ไขข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศที่ซับซ้อนเช่นนี้ อาจต้องใช้เวลาและ “กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ” เข้ามาเป็นส่วนสำคัญ ในขณะที่กระทรวงเศรษฐกิจของไทยจะต้องดำเนินการ “เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ” ต่อไป กระทรวงการต่างประเทศก็ต้องใช้ช่องทางการทูตเพื่อแก้ไขปมปัญหาชายแดน ซึ่งต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิด
แผนการรับมือของไทย: สร้างความยืดหยุ่นในเศรษฐกิจและการทูต
การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไทยจำเป็นต้องมีแผนการรับมือที่ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจและการทูต เพื่อบรรเทาผลกระทบและหาทางกลับมาสู่โต๊ะ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ โดยเร็วที่สุด จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมเห็นว่าแนวทางที่ไทยกำลังดำเนินการและควรจะเร่งผลักดันให้เข้มข้นขึ้น มีดังนี้:
การแยกแยะประเด็น: ไทยต้องยืนยันจุดยืนที่ชัดเจนต่อสหรัฐฯ ว่าประเด็นชายแดนกับกัมพูชาเป็นเรื่องความมั่นคงทวิภาคีที่แยกออกจากการค้า โดยเน้นย้ำว่าการค้าเสรีกับสหรัฐฯ ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญ และไทยพร้อมเดินหน้าเจรจาต่อไป การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความเข้าใจในประเด็นนี้หลังจากที่นายกรัฐมนตรีไทยได้ชี้แจง ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่เปิดช่องทางการทูตให้เดินหน้าต่อไปได้
การใช้กลไกทวิภาคีและพหุภาคี: ไทยต้องใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการหารือกับกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับปัญหาชายแดน ควบคู่ไปกับการแสวงหาการสนับสนุนจากพันธมิตรในอาเซียนและภูมิภาค เช่น มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ได้แสดงความเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยหาแนวทางผลักดันกระบวนการสันติภาพต่อไป
การกระจายความเสี่ยงทางการค้า: ในระยะกลางและระยะยาว ไทยควรเร่งนโยบายขยาย “โอกาสทางธุรกิจในไทย” และขยายผลในโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการเจรจา “ความตกลงการค้าเสรี (FTA)” กับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ และเปิดตลาดใหม่ ๆ นอกจากนี้ การเข้าร่วมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างแข็งขัน จะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของไทย และลดการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป การมี “นโยบายการค้าต่างประเทศ” ที่หลากหลายจะช่วยลดความเปราะบาง
การเสริมสร้างความเข้มแข็งภายใน: การส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และการพัฒนาทักษะแรงงาน จะช่วยให้ “เศรษฐกิจไทย” มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีขึ้นต่อความผันผวนภายนอก
การให้คำปรึกษาและสนับสนุนผู้ประกอบการ: ภาครัฐควรเร่งให้ข้อมูลและคำแนะนำแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ในการปรับตัวรับมือกับผลกระทบภาษีที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการให้ “ที่ปรึกษาภาษีระหว่างประเทศ” และ “ที่ปรึกษาการค้าระหว่างประเทศ” เข้ามาช่วยวางแผนกลยุทธ์การตลาดและการส่งออกใหม่
แม้ว่าสถานการณ์จะมีความท้าทาย แต่ผมยังคงมองเห็นบทบาทที่สำคัญของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาลดความตึงเครียดเพื่อนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยมุ่งมั่นมาโดยตลอด
การรีเซตความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ: บทเรียนและก้าวต่อไป
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 200 ปี และเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญาของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาโดยตลอด สนธิสัญญามะนิลาปี 1954 เป็นรากฐานของความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง และสนธิสัญญาไมตรีปี 1966 ได้เสนอเงื่อนไขการลงทุนที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจของสหรัฐฯ ซึ่งช่วยขับเคลื่อน “เศรษฐกิจไทย” ในภาคการผลิต การที่ไทยและสหรัฐฯ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยแร่ธาตุสำคัญระหว่างงานอาเซียนซัมมิตที่กัวลาลัมเปอร์เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการขยายความร่วมมือในมิติเศรษฐกิจใหม่ๆ และเป็นสัญญาณที่ดีว่า “ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ” กำลังมีพัฒนาการที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งล่าสุด ได้นำคำถามมาสู่การพิจารณาว่าโอกาสในการปรับ “รีเซตความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ” จะลดน้อยลงหรือไม่ ดังที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เคยให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่าความท้าทายสำหรับรัฐบาลไทยคือการค้นหาพื้นที่ใหม่ ๆ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันกับสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการสร้างสมดุลกับจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย
ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ สิ่งสำคัญในการก้าวไปข้างหน้าคือ:
ความสม่ำเสมอในนโยบาย: ไทยจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความสม่ำเสมอใน “นโยบายการค้าต่างประเทศ” และความมุ่งมั่นต่อหลักการสากล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของประชาคมโลกและสหรัฐฯ
ความเข้าใจในจุดยืนของแต่ละฝ่าย: ทั้งไทยและสหรัฐฯ ต้องพยายามทำความเข้าใจแรงจูงใจและจุดยืนของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง การที่สหรัฐฯ มองว่าความมั่นคงชายแดนส่งผลต่อเสถียรภาพภูมิภาค ซึ่งอาจกระทบต่อ “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” และผลประโยชน์ของตนในระยะยาว เป็นสิ่งที่ไทยต้องนำมาพิจารณาในการวางแผนการทูต
การสื่อสารเชิงรุก: “กรุงเทพมหานคร” ต้องสื่อสารจุดยืนและเหตุผลในการตัดสินใจต่างๆ ให้กับ “วอชิงตัน ดีซี” และประชาคมโลกอย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและสร้างความเชื่อมั่น
การแสวงหาพื้นที่ความร่วมมือใหม่ๆ: นอกจากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว การมองหาพื้นที่ความร่วมมือใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน เช่น ด้านเทคโนโลยี พลังงานสะอาด หรือความมั่นคงทางไซเบอร์ จะช่วยเสริมสร้างรากฐานของ “ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ” ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
การที่รัฐบาลไทยยังคงมีนโยบายขยายโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการเจรจา FTA การเปิดตลาดใหม่ และการเข้าร่วมกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของไทย ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องและควรเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
บทสรุปและก้าวต่อไปสำหรับผู้ประกอบการ
การระงับ เจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ไม่ใช่เพียงประเด็นทางการทูต แต่เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับ “เศรษฐกิจไทย” และผู้ประกอบการทุกคนที่ทำธุรกิจระหว่างประเทศ สถานการณ์นี้ตอกย้ำถึงความเปราะบางของ “ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ” และความจำเป็นที่เราจะต้องมี “นโยบายการค้าต่างประเทศ” ที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับความท้าทายจาก “ภูมิรัฐศาสตร์” ที่เปลี่ยนแปลงไป
ในฐานะผู้ประกอบการ คุณไม่สามารถรอให้สถานการณ์คลี่คลายเองได้ การวางแผนเชิงรุกคือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดและเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
อย่าปล่อยให้ความไม่แน่นอนทางการค้ามาฉุดรั้งธุรกิจของคุณ! ในช่วงเวลาที่การค้าโลกผันผวนและมีความท้าทายจากมาตรการภาษีใหม่ ๆ การมีข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคือสิ่งจำเป็น หากคุณต้องการเข้าใจผลกระทบของสถานการณ์นี้ต่อธุรกิจของคุณ วางแผน “กลยุทธ์การส่งออก” ใหม่ หรือต้องการคำปรึกษาด้าน “การบริหารความเสี่ยงทางการค้า” และ “กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคุณและคว้า “โอกาสทางธุรกิจในไทย” และตลาดโลกได้อย่างมั่นใจ
ติดต่อเราวันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาจาก “ที่ปรึกษาการค้าระหว่างประเทศ” และ “ที่ปรึกษาภาษีระหว่างประเทศ” ผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้ธุรกิจของคุณก้าวข้ามทุกอุปสรรคและเติบโตอย่างยั่งยืนในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกปี 2025 และปีต่อๆ ไป

![D1210028 หญ งม ตำหน [ตอนแรก] part2](https://dungthailan.vansonnguyen.com/wp-content/uploads/2025/12/image-450.png)