ถอดรหัสโรดแมป ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์: สร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนด้วยวิสัยทัศน์ผู้เชี่ยวชาญ 10 ปี
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจนี้อย่างใกล้ชิด จากยุคที่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มุ่งเน้นเพียงผลกำไรสูงสุดและฟังก์ชันการใช้งาน สู่ปัจจุบันที่ ‘ความยั่งยืน’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวใจสำคัญ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์วันนี้ไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผลกระทบเชิงบวกที่เราสร้างต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) ที่ดีด้วย ซึ่งในบริบทของประเทศไทยนั้น องค์กรชั้นนำหลายแห่งเริ่มตระหนักและก้าวเดินไปในทิศทางนี้อย่างจริงจัง และหนึ่งในนั้นคือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ได้เปิดเผยโรดแมป “พลัสก่อการดี” ซึ่งไม่เป็นเพียงแค่แผนงาน แต่เป็นพิมพ์เขียวแห่งอนาคตของ ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ควรค่าแก่การศึกษา
แนวคิด ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว แต่เป็นวิวัฒนาการที่เร่งตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและใจ รวมถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี (Quality of Life and Well-being) ของผู้อยู่อาศัยในทุกมิติ โดยวางรากฐานผ่าน 5 กลยุทธ์หลักอันแข็งแกร่ง ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ แต่ยังเป็นทิศทางที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกกำลังมุ่งไป
โรดแมป “พลัสก่อการดี” จึงเป็นเสมือนเข็มทิศนำทางที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน ซึ่งผมจะขอวิเคราะห์เจาะลึกในแต่ละกลยุทธ์ พร้อมเชื่อมโยงกับแนวโน้มและโอกาสในวงการ ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2025 และปีต่อๆ ไป
Environment Management: ก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำและการจัดการสิ่งแวดล้อมแบบองค์รวม
กลยุทธ์แรกนี้เป็นหัวใจสำคัญของมิติสิ่งแวดล้อม (E) ในกรอบของ ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ได้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในการพัฒนาโครงการสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และการบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับธุรกิจที่ใช้ทรัพยากรและปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากอย่างอสังหาริมทรัพย์
ประสบการณ์ของผมสอนว่า การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจและควบคุมการใช้ทรัพยากรในวงจรชีวิตของอาคารทั้งหมด ตั้งแต่การก่อสร้างไปจนถึงการใช้งานและบำรุงรักษา พลัสฯ ได้ริเริ่มแคมเปญ “Waste to Worth” มาอย่างต่อเนื่องถึง 5 ปี ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาปรับใช้จริง โดยการส่งเสริมการคัดแยกขยะอย่างถูกต้องและนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะฝังกลบ แต่ยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย กิจกรรมเช่น “คัด-แยก-แลก-สุข” ที่ให้ลูกบ้านนำขยะรีไซเคิลมาแลกไข่ไก่ หรือกิจกรรมสวนผัก Backyard ที่สนับสนุนการปลูกพืชปลอดสารในโครงการ ถือเป็นการสร้างพฤติกรรมเชิงบวกและสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมในระดับชุมชนได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ การลดใช้พลังงานในอาคารก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ การลงทุนในเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) อย่างระบบ Smart Building ที่ใช้ AI ในการจัดการพลังงาน ระบบปรับอากาศ และแสงสว่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานสะอาด เช่น แผงโซลาร์เซลล์ และการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือทิศทางที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการความเป็นผู้นำด้าน ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต้องพิจารณา การที่พลัสฯ ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 14001 ซึ่งเป็นระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบและเป็นสากล การรับรองอาคารเขียว (Green Building Certification) เช่น LEED หรือ TREES ก็เป็นอีกหนึ่งการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน ที่ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนในระยะยาว แต่ยังช่วยเพิ่มมูลค่าและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับโครงการอีกด้วย
Care for Community: สร้างความสัมพันธ์และแบ่งปันสู่สังคม
มิติทางสังคม (S) เป็นสิ่งที่หลายองค์กรมักจะมองข้ามไป หรือทำเพียงแค่กิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) แบบฉาบฉวย แต่สำหรับ ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่แท้จริงนั้น การดูแลชุมชนต้องฝังรากลึกในดีเอ็นเอขององค์กร และสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืน พลัสฯ เข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี และได้ดำเนินโครงการ “พลัสปันสุข” เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับชุมชนรอบโครงการอย่างต่อเนื่อง
ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ การสร้างความผูกพันกับชุมชนนั้นไม่ใช่แค่การให้ แต่เป็นการร่วมสร้าง (Co-creation) และส่งเสริมให้ชุมชนเติบโตไปพร้อมกัน การปรับปรุงพื้นที่โรงเรียน สร้างแปลงผักปลอดสาร หรือสนับสนุนอาหารกลางวันเด็ก คือการลงทุนทางสังคม ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่โดยตรง นอกจากนี้ การเปิดระบบแลกเปลี่ยนสิ่งของของลูกบ้านเพื่อนำรายได้สนับสนุนมูลนิธิยุวพัฒน์ ยังเป็นการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างผู้คนภายในโครงการและสังคมภายนอก ทำให้เกิดการหมุนเวียนและแบ่งปันทรัพยากรอย่างมีคุณค่า
การดูแลชุมชนยังรวมไปถึงการสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงในชีวิต การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนผ่านกิจกรรมต่างๆ การส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น และการสร้างโอกาสในการทำงานให้กับคนในพื้นที่ เหล่านี้คือสิ่งที่พลัสฯ ได้ดำเนินการและสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีของ ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในการสร้างคุณค่าร่วม (Shared Value) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม การพิจารณาถึงบริบทของโครงการอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน ในเมืองใหญ่ เช่น โครงการในกรุงเทพฯ หรือปริมณฑล การเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพื่อให้โครงการไม่ใช่แค่สิ่งก่อสร้าง แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทางสังคมที่เข้มแข็ง
Health & Wellbeing: ยกระดับสุขภาพและความสุขในการอยู่อาศัย
การให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยและพนักงาน ถือเป็นเทรนด์สำคัญที่กำลังมาแรงในวงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก และเป็นหัวใจของมิติสังคมใน ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ก้าวหน้า พลัสฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในเทรนด์นี้ด้วยการจัดกิจกรรม Active Lifestyle และการร่วมมือกับพันธมิตรด้านสุขภาพ เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช-แสนสิริ เพื่อส่งบริการแพทย์ถึงโครงการ รวมถึงจัดคลาสออกกำลังกายและกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพหลากหลายรูปแบบ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่าสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีนั้นครอบคลุมมากกว่าแค่การออกกำลังกาย แต่เป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมทั้งหมดที่เอื้อต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพสังคม การออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงหลัก Biophilic Design ที่นำธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร การมีพื้นที่สีเขียวที่เพียงพอ การจัดการคุณภาพอากาศและน้ำที่ดี การลดมลพิษทางเสียง และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการพักผ่อนและการทำงานอย่างสมดุล ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน โดดเด่นในตลาด
การใช้เทคโนโลยี Smart Home เพื่อช่วยตรวจสอบและจัดการสภาพแวดล้อมภายในบ้าน เช่น ระบบเซ็นเซอร์วัดคุณภาพอากาศ ระบบควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับ Well-being การที่พลัสฯ ร่วมมือกับผู้ให้บริการทางการแพทย์ ถือเป็นการตอบโจทย์ Pain Point ของลูกบ้านในการเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของพนักงาน ก็เป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนมิตินี้ เพราะพนักงานที่มีสุขภาพดีและมีความสุข ย่อมให้บริการลูกบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพและเต็มเปี่ยมด้วยพลัง
Multi-generations Society: สร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้และการอยู่ร่วมกันของคนทุกวัย
สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ และความท้าทายหนึ่งของ ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือการออกแบบและบริหารจัดการพื้นที่อยู่อาศัยที่สามารถรองรับความต้องการของคนหลากหลายช่วงวัยได้อย่างกลมกลืน พลัสฯ ได้นำเสนอแนวคิด Multi-generations Society ที่มุ่งสร้างพื้นที่การเรียนรู้และการอยู่ร่วมกันของหลายเจเนอเรชัน โดยมีทีมนิติบุคคลทำหน้าที่เป็น “Community Connector” จัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ทุกวัยมีส่วนร่วม เช่น โครงการเพื่อนบ้านอาสาเพื่อแบ่งปันทักษะและประสบการณ์
ผมเชื่อว่าการออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อคนทุกวัย (Age-Friendly Design) หรือการออกแบบที่เป็นสากล (Universal Design) คือหัวใจสำคัญของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ซึ่งหมายถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และใช้งานง่ายสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ การจัดกิจกรรมที่หลากหลายและน่าสนใจสำหรับแต่ละช่วงวัย แต่ยังคงเชื่อมโยงกันได้ เช่น คลาสโยคะสำหรับผู้สูงอายุ ควบคู่ไปกับเวิร์คช็อปศิลปะสำหรับเด็ก หรือการจัดกิจกรรมอาสาสมัครร่วมกันของคนต่างวัย จะช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยและส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกัน
บทบาทของ Community Connector ที่เป็นทีมนิติบุคคลนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาคือผู้ที่ใกล้ชิดกับลูกบ้านมากที่สุด และเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของแต่ละกลุ่มได้ การสร้างแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ลูกบ้านได้แบ่งปันความรู้ ความสามารถ หรือแม้กระทั่งความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เพียงช่วยสร้างความผูกพัน แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายสังคมที่แข็งแกร่งภายในโครงการ และนี่คือหัวใจของโซลูชั่นบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การดูแลกายภาพของอาคาร แต่เป็นการดูแลสังคมและจิตใจของผู้อยู่อาศัยด้วย
Lifelong Education: สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์สุดท้ายนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของพลัสฯ ในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพของทุกคน ไม่ใช่แค่ลูกบ้าน แต่รวมถึงพนักงานและชุมชนรอบข้างด้วย การสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ผ่านโครงการพัฒนาทักษะการทำงาน เสริมความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมเพิ่มศักยภาพด้านต่าง ๆ ที่ต่อยอดได้จริงในชีวิตประจำวัน คือสิ่งที่พลัสฯ กำลังดำเนินการ
ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด การให้โอกาสในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะดิจิทัล ทักษะด้านภาษา หรือทักษะด้านสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับบุคคลและชุมชน การที่องค์กรอย่างพลัสฯ ลงทุนในการพัฒนาบุคลากรและลูกบ้านในด้านนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักว่า ทรัพยากรมนุษย์คือส่วนสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อน ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้ประสบความสำเร็จ
จากประสบการณ์ของผม การสร้างโครงการอบรมหรือเวิร์คช็อปที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เช่น การประหยัดพลังงานในบ้าน การจัดการขยะอาหาร หรือการทำสวนครัวแนวตั้ง ไม่เพียงให้ความรู้ แต่ยังสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบร่วมกันในหมู่ลูกบ้าน การที่พนักงานเองก็ได้รับการพัฒนาทักษะด้าน ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะช่วยให้พวกเขาสามารถบริหารจัดการโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนขององค์กร การลงทุนในเรื่องการศึกษาจึงเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว ทั้งในแง่ของความพึงพอใจของลูกบ้าน ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และชื่อเสียงขององค์กร
มาตรฐานสากลและอนาคตของ ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
นอกจาก 5 กลยุทธ์อันเป็นแกนหลักแล้ว การที่พลัสฯ ให้ความสำคัญกับมาตรฐานการทำงานระดับสากล โดยได้รับการรับรอง ISO ครอบคลุมทั้งด้านระบบบริหารงานคุณภาพ (ISO 9001), การบริหารทรัพยากรกายภาพ (ISO 41001) และระบบสิ่งแวดล้อม (ISO 14001) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ การเป็นผู้ให้บริการ Property Management รายแรกและรายเดียวที่มีมาตรฐานครอบคลุมทุกโครงการในพอร์ตทั้งหมดกว่า 440 โครงการ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความเป็นเลิศและคุณภาพที่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในอุตสาหกรรมนี้
ในฐานะที่ปรึกษา ESG ในธุรกิจอสังหาฯ ผมมองว่าการนำเอามาตรฐานสากลมาปรับใช้ ไม่ใช่แค่การขอใบรับรอง แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล (G) ในกรอบของ ESG การประเมินความเสี่ยง ESG อย่างสม่ำเสมอ และการนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง คือสิ่งที่จะทำให้องค์กรสามารถรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที
อนาคตของ ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีมากขึ้น การใช้ Big Data และ AI ในการติดตามและรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ และการสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการมีส่วนร่วมของชุมชน จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินงานตามโรดแมปความยั่งยืนมีประสิทธิภาพและโปร่งใสยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การลงทุนในเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) ที่ช่วยลดคาร์บอนในอสังหาริมทรัพย์ และพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขัน
บทสรุปและก้าวต่อไป
โรดแมป “พลัสก่อการดี” ของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่แผนงานสำหรับองค์กรเท่านั้น แต่ยังเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญและเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในวงการ ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในประเทศไทยและในระดับภูมิภาค การที่พลัสฯ เน้นย้ำว่าโรดแมปนี้จะถูกนำไปใช้กับทุกโครงการ พร้อมสร้าง Ecosystem การอยู่อาศัยที่เอื้อต่อความยั่งยืน เพื่อให้ทุกพื้นที่อยู่อาศัยมีความหมาย และสามารถส่งต่อคุณค่าที่ดีไปยังชุมชนโดยรอบได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว คือวิสัยทัศน์ที่ควรได้รับการยกย่อง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าการผสานรวมหลักการ ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อย่างลึกซึ้งและจริงจังเช่นนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เป็นรากฐานสำคัญที่สร้างความแข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และความสามารถในการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กรและสังคมโดยรวม มันคือการสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกที่แท้จริง ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าใครจะเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์แห่งอนาคต
หากองค์กรของคุณกำลังมองหาวิธีการที่จะผสานรวมหลักการ ESG ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อย่างมีกลยุทธ์ เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนและตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในยุค 2025 และปีต่อๆ ไป เราขอเชิญชวนให้ศึกษาเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ และพิจารณาถึงโซลูชั่นบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ที่ขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ความยั่งยืน เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีขึ้นให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ของเรา.

