การค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย: ปลดล็อกฝันบ้านของคนไทยในยุค 2025
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มานับทศวรรษ ผมได้เห็นพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของตลาดแห่งนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนทั้งภาคธุรกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน ปัจจุบัน เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างยิ่ง นั่นคืออัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ท้าทายความฝันของการมีบ้านของคนไทยนับล้าน และสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ บทความนี้จะเจาะลึกถึงรากเหง้าของปัญหา วิเคราะห์มาตรการปัจจุบันที่ไม่เพียงพอ และนำเสนอทางออกเชิงนวัตกรรมผ่านโมเดล “การค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย” หรือ Mortgage Insurance (MI) ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการพลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสทองสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2025 และอนาคต
วิกฤตสินเชื่อที่อยู่อาศัย: ภาพสะท้อนจากข้อมูลจริงและผลกระทบเชิงระบบ
สถานการณ์ในไตรมาส 2 ปี 2568 ได้เผยให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจจากผลสำรวจของสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ซึ่งชี้ชัดว่ายอดการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยพุ่งสูงถึง 80% ในกลุ่มสินเชื่อวงเงินต่ำกว่า 3 ล้านบาท และมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 39.8% นั่นหมายความว่า ในทุกๆ 10 คนที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม จะมีถึง 4 คนที่ต้องผิดหวัง ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายปี ข้อมูลเชิงลึกนี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขบนกระดาษ แต่สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจไทย
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่าตัวเลขเหล่านี้คือสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ถึงความเปราะบางของกำลังซื้อภาคประชาชนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ท่ามกลางภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และแนวโน้มของหนี้เสีย (NPL) ที่เริ่มขยับตัวขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารเข้มงวดกับการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ ซึ่งมักมีรายได้ไม่สม่ำเสมอหรือไม่มีเอกสารรับรองรายได้ที่ชัดเจน แม้ว่าบุคคลเหล่านี้จะมีศักยภาพในการผ่อนชำระหนี้ แต่ด้วยเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อแบบเดิมๆ ทำให้พวกเขาถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ตกสกอร์” หรือไม่ผ่านเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อ นี่คือกลุ่มคนจำนวนมากที่ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต แต่กลับถูกปิดกั้นโอกาสจากเงื่อนไขทางการเงิน
ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าแม้แต่มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการต่ออายุลดค่าโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับบ้านและคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท หรือการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV (Loan-to-Value) ให้สามารถขอสินเชื่อได้ 100% สำหรับการซื้อบ้านทุกหลัง ก็ยัง “ดีแต่ไม่พอเพียง” เพราะปัญหารากเหง้าไม่ได้อยู่ที่ “เงินดาวน์” หรือ “ค่าธรรมเนียม” เพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่ “ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อ” ตั้งแต่ต้น สภาพการณ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่ฉุดรั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ซบเซา แต่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม เพราะอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มีส่วนสำคัญในการสร้างงานและขับเคลื่อนภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย
ถอดรหัสปัญหาเชิงโครงสร้าง: ทำไมมาตรการเดิมถึงยังไม่ตอบโจทย์?
จากประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการเป็นที่ปรึกษา ผมเห็นว่าการที่มาตรการรัฐยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างเด็ดขาดนั้น มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและ взаимоสัมพันธ์กัน
ประการแรก แม้ว่าการผ่อนปรน LTV จะช่วยให้ผู้ซื้อสามารถกู้ได้เต็ม 100% แต่ธนาคารยังคงพิจารณาจากประวัติเครดิตบูโร (Credit Bureau) ความสามารถในการผ่อนชำระ และอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR: Debt Service Ratio) เป็นหลัก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถูกกระทบโดยภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่วของประเทศไทยที่ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง ทำให้ธนาคารต้องเพิ่มความระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อเพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดหนี้เสียใหม่
ประการที่สอง ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2025 เป็นปัจจัยภายนอกที่ทำให้ธนาคารต้องประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในภาวะเช่นนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และธนาคารเองก็ต้องบริหารพอร์ตสินเชื่ออย่างรัดกุม
ประการที่สาม กลุ่มผู้มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ เช่น ผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือฟรีแลนซ์ ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล กำลังเผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เนื่องจากสถาบันการเงินมักมีเกณฑ์การพิจารณาที่เข้มงวดสำหรับกลุ่มอาชีพเหล่านี้ แม้จะมีกระแสเงินสดที่ดี แต่การขาดหลักฐานทางการเงินที่เป็นระบบระเบียบตามที่ธนาคารต้องการ ทำให้พวกเขากลายเป็น “กลุ่มตกสกอร์” ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำได้ นี่คือช่องว่างสำคัญที่เราต้องเร่งแก้ไข
ผลสำรวจยังสะท้อนความรู้สึกของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงต้อง “ประคองตัว” และมี “ความเชื่อมั่นธุรกิจ” ในระดับระมัดระวังสูง โดย 66.6% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าปีนี้ยังไม่เหมาะสมกับการลงทุนใหม่ บ่งชี้ว่าตลาดขาดสภาพคล่องและแรงขับเคลื่อนที่เพียงพอ การแก้ไขปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อจึงไม่ใช่แค่การช่วยเหลือผู้บริโภค แต่เป็นการฉีดเลือดใหม่เข้าสู่ระบบนิเวศของอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนโดยรวม
พลิกเกมด้วยโมเดล “ค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MI)”: ทางออกใหม่สำหรับประเทศไทย
จากประสบการณ์ตรงในวงการ ผมเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องคิดนอกกรอบและมองหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ ที่จะมาช่วยอุดช่องว่างที่มาตรการปัจจุบันยังเข้าไม่ถึง นั่นคือการผลักดันให้เกิด “กองทุนค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย” หรือ Mortgage Insurance (MI) ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก และสามารถนำมาปรับใช้กับบริบทของไทยได้
แนวคิดของ MI คือการที่ภาครัฐ (หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย) เข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันความเสี่ยงบางส่วนให้กับสถาบันการเงินในกรณีที่ผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ธนาคารมีความมั่นใจและพร้อมที่จะปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพแต่มีข้อจำกัดด้านเครดิตสกอริ่ง หรือมีเงินดาวน์ไม่สูงมากนักได้ง่ายขึ้น
กลไกการทำงานและผู้เกี่ยวข้อง:
ผู้กู้: ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง หรือกลุ่มอาชีพอิสระ ที่มักถูกปฏิเสธสินเชื่อ หรือไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้เต็ม 100% อาจต้องชำระเบี้ยประกัน MI ส่วนหนึ่ง
สถาบันการเงิน: ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งเป็นธนาคารที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อต่ำที่สุดเฉลี่ยที่ 26.1% จะได้รับความคุ้มครองความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อที่ได้รับการค้ำประกัน ทำให้กล้าปล่อยกู้มากขึ้น
ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์: บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น สร้างสภาพคล่องให้กับตลาด
กองทุนค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MI Fund): อาจจัดตั้งขึ้นโดยภาครัฐ หรือร่วมทุนกับภาคเอกชน ทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุนและรับผิดชอบการค้ำประกันตามเงื่อนไขที่กำหนด
ประโยชน์ของการมี MI:
เพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อ: ปลดล็อกข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีเครดิตดีแต่ “ตกสกอร์” หรือผู้ที่มีเงินดาวน์ไม่มากนัก ให้สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการพัฒนาประเทศ
ลดความเสี่ยงให้ธนาคาร: สร้างเกราะป้องกันความเสี่ยงให้สถาบันการเงิน ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าสินเชื่อบ้านได้อย่างมั่นใจมากขึ้น และอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้บริโภค
กระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์: เมื่อประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ยอดซื้อขายก็จะเพิ่มขึ้น กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัยในเขตปริมณฑล และการลงทุนอสังหาริมทรัพย์โดยรวม ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการก่อสร้างและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง
ลดหนี้เสีย (NPL): ด้วยกลไกการค้ำประกันที่เหมาะสม อาจช่วยลดภาระหนี้เสียในระบบลงได้ในระยะยาว หากมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างความมั่นคงทางสังคม: การมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างความมั่นคงในชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความผูกพันในชุมชน
เป้าหมายของ MI ที่เหมาะสมกับบริบทไทย:
สำหรับวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสมในการเริ่มต้นโครงการ MI อาจกำหนดเพดานไว้ที่ 7 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางส่วนใหญ่ และสามารถพิจารณานำไปใช้กับการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับบ้านหลังที่ 2 หรือ 3 ที่ปกติแล้วธนาคารมักจะปล่อยสินเชื่อไม่เต็ม 100% ทำให้ผู้ซื้อต้องมีเงินดาวน์สูง ซึ่ง MI จะเข้ามาอุดช่องว่างตรงนี้
แนวคิดนี้ไม่ได้ต้องการให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อให้กับ “ลูกหนี้สีดำ” ที่มีประวัติการชำระหนี้ไม่ดี แต่เป็นการพิจารณา “ลูกค้ากลุ่มตกสกอร์” ที่มีศักยภาพและวินัยทางการเงินที่ดี แต่ด้วยเกณฑ์พิจารณาที่เข้มงวด ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ผมคาดหวังว่าหากสามารถดึงลูกค้ากลุ่มนี้กลับเข้ามาในระบบได้เพียงครึ่งหนึ่งจากยอดปฏิเสธสินเชื่อปัจจุบัน ก็จะสามารถเพิ่มยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ในระบบได้อีก 1.5-2 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งจะผลักดันให้ยอดสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยรวมกลับไปแตะระดับ 7.5-8 แสนล้านบาทต่อปีได้สำเร็จ
ถอดบทเรียนจากต่างประเทศและกรอบการดำเนินการ:
โมเดล Mortgage Insurance ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย มีกลไก MI ที่แข็งแกร่งซึ่งช่วยให้ผู้คนนับล้านเข้าถึงการเป็นเจ้าของบ้านได้ รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักจะเป็นผู้สนับสนุนหลัก หรือเป็นผู้กำกับดูแลให้เกิดกลไกนี้ขึ้นมา
สำหรับประเทศไทย ผมมองว่าการดำเนินการควรแบ่งออกเป็น 2 ระยะ:
ระยะสั้น/ระยะเฉพาะหน้า: เริ่มต้นด้วยการหารือร่วมกับสมาคมธนาคารไทย และธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่บางแห่ง เพื่อทดลองนำร่องโครงการ MI ในรูปแบบที่เรียบง่ายและยืดหยุ่น โดยอาจกำหนดกลุ่มเป้าหมายและเงื่อนไขที่ชัดเจน เพื่อสร้างกรณีศึกษาและประเมินผล
ระยะยาว: เสนอให้มีการจัดตั้งหน่วยงานภาครัฐด้าน MI โดยเฉพาะ คล้ายกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่ทำหน้าที่ค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs หน่วยงานนี้จะมีบทบาทในการกำหนดนโยบาย มาตรฐาน และกลไกการค้ำประกันสินเชื่อบ้านและคอนโดมิเนียมอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
การจัดตั้งกองทุนหรือหน่วยงานเฉพาะด้านนี้ จะต้องพิจารณาถึงแหล่งเงินทุนในการเริ่มต้น (Fund Capitalization) กรอบกฎหมายที่รองรับ การบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) และการประเมินเบี้ยประกัน (Premium Assessment) ที่เหมาะสม เพื่อให้ระบบสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนและไม่สร้างภาระทางการคลังมากเกินไป ในระยะยาว การมีระบบ MI ที่เข้มแข็งจะเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการสินทรัพย์และการบริหารความมั่งคั่งของประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ผลกระทบเชิงบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนของไทย
การผลักดันให้เกิด “การค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย” ไม่ใช่เพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในระยะยาว โดยจะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาล:
กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ: เมื่อคนเข้าถึงบ้านได้มากขึ้น จะเกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ภาคการผลิตวัสดุก่อสร้าง การจ้างงานแรงงาน การตกแต่งภายใน ไปจนถึงธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ของประเทศขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ
เพิ่มความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ: เมื่อตลาดมีสภาพคล่องและกำลังซื้อกลับคืนมา ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะมีความมั่นใจในการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มโอกาสลงทุนอสังหาฯ และพัฒนาโครงการคุณภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องพึ่งพากำลังซื้อที่จำกัด
สร้างเสถียรภาพทางการเงิน: การที่ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้อย่างมั่นใจภายใต้การค้ำประกัน จะช่วยให้ระบบการเงินมีความแข็งแกร่งขึ้น ลดความผันผวนของหนี้เสีย และส่งเสริมการแข่งขันในผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยดิจิทัลและนวัตกรรมอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ
ยกระดับคุณภาพชีวิต: การที่ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองนำมาซึ่งความมั่นคงทางใจและกาย ลดความกังวลในการใช้ชีวิต และสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการวางแผนครอบครัวและอนาคต ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ผมเชื่อว่าการวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างลึกซึ้ง และการทำความเข้าใจบริบททางเศรษฐกิจสังคม จะเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายภาครัฐที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของประชาชนและภาคธุรกิจ การค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการทางการเงิน แต่เป็นกลไกที่ขับเคลื่อนความฝันของคนไทยให้เป็นจริง
ก้าวต่อไป: สร้างโอกาสเพื่อความมั่นคงในอนาคต
วิกฤตการณ์การปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยในปัจจุบันเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ สถาบันการเงิน หรือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ แต่ผมเชื่อมั่นว่าภายใต้ความท้าทายนี้ เราจะสามารถค้นพบโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์นโยบายและกลไกที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
โมเดล “การค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย” คือทางออกเชิงกลยุทธ์ที่สามารถพลิกโฉมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้ โดยการลดช่องว่างระหว่างผู้กู้ที่มีศักยภาพแต่ขาดโอกาส กับสถาบันการเงินที่ต้องการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม การสร้างกลไกนี้จะช่วยปลดล็อกกำลังซื้อที่ถูกอั้นไว้มหาศาล และนำพาสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลับคืนสู่เส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืน ผมหวังว่าทุกฝ่ายจะผนึกกำลังกันเพื่อผลักดันแนวคิดนี้ให้เป็นจริง เพื่อสร้างอนาคตที่ทุกคนมีโอกาสเป็นเจ้าของบ้าน และเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หากท่านคือผู้ประกอบการที่กำลังมองหาที่ปรึกษาด้านการพัฒนาโครงการ หรือสถาบันการเงินที่ต้องการทำความเข้าใจแนวทางบริหารความเสี่ยงใหม่ๆ หรือผู้ที่สนใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์และกำลังมองหาโอกาสทองในตลาดที่กำลังจะฟื้นตัว ผมพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์และข้อมูลเชิงลึก เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ติดต่อเราวันนี้ เพื่อเริ่มต้นการสนทนาสู่โอกาสใหม่ๆ ในอนาคตที่สดใสของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย

