เจาะลึกเทรนด์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568: โอกาสและความท้าทายในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตและวิเคราะห์พลวัตของตลาดมาโดยตลอด และสิ่งที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คือภูมิทัศน์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภคได้หลอมรวมกัน สร้างแนวโน้มใหม่ๆ ที่ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยไม่ควรมองข้าม นี่ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงชั่วคราว แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับทิศทางการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อคว้าโอกาสที่มาพร้อมกับความท้าทายเหล่านี้
จากการบรรยายและการสนทนากับผู้บริหารและนักลงทุนชั้นนำ ผมได้รวบรวมแก่นแท้ของแนวโน้มสำคัญที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 และหลังจากนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัย เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพที่ชัดเจนและเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคต ไม่ว่าท่านจะเป็นนักลงทุนที่กำลังมองหา “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน” ผู้ประกอบการที่ต้องการ “นวัตกรรมอสังหาริมทรัพย์” หรือเพียงแค่ผู้ที่กำลังวางแผนซื้อ “ที่อยู่อาศัยขนาดเล็ก” หรือ “คอนโดให้เช่า” ใน “ทำเลทอง” การทำความเข้าใจ “เทรนด์อสังหา” เหล่านี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทเช่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด
แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ผมเน้นย้ำมาโดยตลอด และจะยิ่งชัดเจนขึ้นในปี 2568 ด้วยปัจจัยหลากหลายประการ ราคา “อสังหาริมทรัพย์” ในเขต “กรุงเทพฯ” ปริมณฑล และ “เมืองใหญ่” โดยเฉพาะโครงการใหม่ๆ ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับกำลังซื้อของชนชั้นกลางทั่วไปที่ยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง และหนี้ครัวเรือนในประเทศไทยที่แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อย “สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์” อย่างมาก โอกาสในการเป็นเจ้าของ “ที่อยู่อาศัย” จึงกลายเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับคนจำนวนมาก การเช่าจึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลและยืดหยุ่นกว่า
ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งสูงและชนชั้นกลางบน ซึ่งสั่งสมความมั่งคั่งและทรัพย์สินมาตลอด 20-30 ปีที่ผ่านมา มีความรู้ความเข้าใจเรื่อง “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” มากขึ้น พวกเขาเริ่มมองเห็นศักยภาพของการนำที่ดินเปล่ามาพัฒนาเป็น “อพาร์ตเมนต์ให้เช่า” หรือ “ลงทุนคอนโด” แล้วนำมาปล่อยเช่าต่อ เป็นรูปแบบ “การลงทุนระยะยาว” ที่ให้ “ผลตอบแทนการลงทุน” สม่ำเสมอและมีความเสี่ยงต่ำกว่า “การลงทุนในตลาดหุ้น” หรือสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง
นอกจากนี้ พฤติกรรมของ “คนรุ่นใหม่” โดยเฉพาะ Gen Y และ Gen Z มีมุมมองต่อการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่ได้ยึดติดกับการเป็นเจ้าของ “อสังหาริมทรัพย์” ในแบบเดิมๆ อีกต่อไป “ที่อยู่อาศัย” สำหรับคนรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์ที่ต้องผ่อนเพื่อเป็นเจ้าของ แต่เป็นภาระที่ต้องดูแล ทั้งเรื่องการซ่อมบำรุง ภาษี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วยลักษณะงานที่เปลี่ยนแปลงบ่อย การเป็น Digital Nomads หรือการย้ายที่ทำงานในแต่ละภูมิภาค ทำให้การผูกติดกับ “ที่อยู่อาศัย” ในทำเลใดทำเลหนึ่งนานถึง 20-30 ปี อาจไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและการทำงานของพวกเขา “การเช่า” จึงมอบความยืดหยุ่นสูงกว่า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เน้นประสบการณ์และการเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ การทำสัญญาเช่าระยะสั้นหรือเช่าแบบยืดหยุ่น (Flexible Lease) จะกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น
ที่อยู่อาศัยขนาดเล็กลง พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่หลากหลายและทันสมัย
ปัจจัยด้านงบประมาณยังคงเป็นข้อจำกัดหลักสำหรับผู้ซื้อ/ผู้เช่า “อสังหาริมทรัพย์” กลุ่มชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ในขณะที่ “ทำเลดี” ใกล้สถานี “รถไฟฟ้า” ศูนย์กลางธุรกิจ หรือแหล่งช้อปปิ้ง มี “ราคาอสังหาฯ” สูงขึ้นต่อเนื่อง ทางออกของลูกค้าคือการยอมลดขนาด “พื้นที่ใช้สอย” ลง เพื่อแลกกับ “ทำเลทอง” ที่ตอบโจทย์การเดินทางและไลฟ์สไตล์
แต่แนวคิดนี้ไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดด้านงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่ยังสะท้อนถึงค่านิยมของ “คนรุ่นใหม่” ที่มองว่า “อสังหาริมทรัพย์” ขนาดใหญ่เป็นภาระในการดูแลรักษาและจัดการ พวกเขาพอใจกับการอยู่อาศัยในห้องขนาดกะทัดรัดที่เพียงพอต่อการใช้งานพื้นฐาน พร้อมเทคโนโลยี “Smart Home” ที่ช่วยอำนวยความสะดวก และใช้โทรศัพท์มือถือในการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางขึ้น เช่น การออกกำลังกาย การทำงานร่วมกัน หรือการพบปะสังสรรค์ ก็จะไปใช้ “พื้นที่ส่วนกลาง” ในโครงการ หรือพื้นที่สาธารณะ/กึ่งสาธารณะภายนอก เช่น คาเฟ่ Co-working Space หรือสวนสาธารณะ
ด้วยเหตุนี้ โครงการ “อสังหาริมทรัพย์” ประเภท “ที่อยู่อาศัย” ในระดับราคาปานกลาง โดยเฉพาะ “อาคารชุด” ราคา 1.5-3 ล้านบาท ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับคนเมืองยุคปัจจุบัน จะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในด้าน “ทำเล” ที่เชื่อมต่อการเดินทางสะดวก และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ต้อง “หลากหลาย” และ “มีคุณภาพ” เทียบเท่าโครงการหรูใจกลางเมือง โดยเน้นโครงการที่อยู่ใกล้สถานี “รถไฟฟ้า” ในย่านชานเมือง ซึ่งมี “ต้นทุนที่ดิน” ไม่สูงมากนัก ทำให้สามารถจัดสรรงบประมาณไปพัฒนา “พื้นที่ส่วนกลาง” ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น Fitness Center ขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำระบบเกลือ สวนลอยฟ้า (Sky Garden) Co-working Space ห้องซักรีดอัจฉริยะ หรือแม้แต่พื้นที่สำหรับ Pet Zone เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่
ตลาดอสังหาริมทรัพย์มือสองจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
“ตลาดอสังหาริมทรัพย์มือสอง” หรือ “บ้านมือสอง” จะมีอัตรา “การเติบโตที่สูงขึ้น” อย่างต่อเนื่องในปี 2568 ด้วยเหตุผลหลักคือ “ทำเล” ใน “เขตเมือง” ที่พัฒนาแล้วและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันนั้น หา “ที่ดินเปล่า” ขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ได้ยากยิ่ง ส่งผลให้ “อสังหาริมทรัพย์ใหม่” ใน “ทำเลทอง” เหล่านั้นมีราคาที่สูงจนยากจะเข้าถึง
“กลุ่มลูกค้า” ที่ต้องการ “ทำเล” ใจกลางเมือง และกลุ่มครอบครัวที่ต้องการ “พื้นที่ใช้สอย” ที่กว้างขวางกว่า “คอนโดมิเนียมใหม่” หรือ “ที่อยู่อาศัยขนาดเล็ก” จะหันมาให้ความสนใจกับ “ที่อยู่อาศัยมือสอง” ไม่ว่าจะเป็น “บ้านเดี่ยวมือสอง” “ทาวน์เฮาส์มือสอง” หรือ “คอนโดมือสอง” เพราะข้อได้เปรียบที่สำคัญคือ “ขนาด” ที่มักจะใหญ่กว่า “ทำเล” ที่ดีกว่า และ “ราคา” ที่ต่ำกว่า “อสังหาริมทรัพย์ใหม่” ในทำเลใกล้เคียงกันมาก การนำส่วนต่างของ “ราคา” มาใช้ในการ “รีโนเวท” หรือปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น จึงเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่า” และ “ดีกว่า” ในหลายกรณี
นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการขนาดเล็กและนักลงทุนอิสระจำนวนมากขึ้นที่หลีกเลี่ยงการแข่งขันกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ หันมาลงทุนใน “อสังหาริมทรัพย์มือสอง” ในย่าน “ทำเลดี” จากนั้นทำการ “รีโนเวท” หรือ “ปรับโฉม” ให้ “ทันสมัย” และตอบโจทย์การใช้งานของคนยุคใหม่มากขึ้น แล้วจึงนำออก “ขาย” หรือ “ปล่อยเช่า” ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์ และช่วยลดความยุ่งยากของลูกค้าในการต้องหาผู้รับเหมามาปรับปรุงทรัพย์เอง รูปแบบธุรกิจ “บ้านรีโนเวท” หรือ “คอนโดรีโนเวท” นี้กำลังเป็นที่นิยมและสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ
รูปแบบ Pricing Model ใหม่ๆ ด้วยพลังของ PropTech และ Blockchain
“นวัตกรรมอสังหาริมทรัพย์” โดยเฉพาะเทคโนโลยี PropTech และ Blockchain กำลังเข้ามาปฏิวัติรูปแบบ “การเสนอขาย/เช่า” “อสังหาริมทรัพย์” ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงในปี 2568 เราจะเห็น “Pricing Model” ที่หลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น “การขายในลักษณะของสิทธิ์การใช้” โดยมี “อสังหาริมทรัพย์” จริงเป็นทรัพย์ที่สนับสนุนสิทธิ์ หรือ “การขายในลักษณะที่เป็นโทเคน” (Tokenization) บนแพลตฟอร์ม Blockchain
การใช้ “โทเคนอสังหาริมทรัพย์” หรือ “Fractional Ownership” ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถ “ทยอยลงทุน” ใน “อสังหาริมทรัพย์” ด้วยเงินจำนวนที่ไม่สูงมากนัก ทำให้ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับคนหลากหลายกลุ่ม การเปลี่ยนมือ “สิทธิ์” หรือ “โทเคน” ทำได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมี “ค่าใช้จ่ายต่ำ” รวมถึงมีสภาพคล่องสูงกว่าการซื้อขาย “อสังหาริมทรัพย์” แบบดั้งเดิม
ยกตัวอย่างเช่น “การซื้อสิทธิ์การอยู่อาศัย” ใน “อาคารชุด” ระยะเวลา 10 ปี โดยมีอาคารชุดในเครือข่ายหลาย “ทำเล” ลูกค้าสามารถใช้สิทธิ์เข้าอยู่อาศัยครั้งละ 3 เดือนในโครงการใดก็ได้ตลอดระยะเวลา 10 ปี หากไม่ต้องการใช้สิทธิ์สามารถนำไป “ขายต่อในตลาดกลาง” หรือให้ “ผู้บริหารโครงการ” นำสิทธิ์ไป “ปล่อยเช่าต่อ” เพื่อสร้างรายได้ และหากทรัพย์นั้นมี “ราคาสูงขึ้น” ในอนาคต “โทเคน” ดังกล่าวก็จะมี “ราคาที่สูงขึ้น” ตามไปด้วย ทำให้ผู้ซื้อได้รับ “กำไรจากการลงทุน” ทั้งในรูปของ “ผลตอบแทนจากการเช่า” และ “ส่วนต่างของราคา” นับเป็น “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” รูปแบบใหม่ที่น่าจับตา และตอบโจทย์นักลงทุนยุคดิจิทัล
Service Residence: ที่อยู่อาศัยพร้อมบริการระดับโรงแรม
“Service Residence” หรือ “ที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมบริการ” ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่แนวโน้มในปี 2568 จะเห็นการพัฒนา “โครงการประเภทขาย” ที่มีบริการมากกว่า “การให้บริการส่วนกลาง” ทั่วไปของ “อาคารชุด” หรือ “หมู่บ้านจัดสรร” โดยบริการเหล่านี้อาจรวมอยู่ใน “ค่าส่วนกลาง” ที่สูงกว่าโครงการทั่วไป หรืออาจแยกเป็น “บริการเสริม” เพื่อเก็บ “ค่าบริการ” ต่างหาก
บริการที่เพิ่มเข้ามาจะคล้ายคลึงกับการบริการของ “โรงแรม” ระดับพรีเมียม เช่น “บริการทำความสะอาด” ห้องพักและซักรีดผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนทุกสัปดาห์ “บริการรถรับส่ง” ไปสถานี “รถไฟฟ้า” หรือศูนย์การค้า “บริการล้างรถ” ล้างแอร์ “บริการอาหาร” ระดับไฟน์ไดนิ่ง “บริการทางการแพทย์พื้นฐาน” “บริการตัดผมเสริมความงาม” หรือแม้แต่ “บริการดูแลผู้สูงอายุ” และ “บริการดูแลสัตว์เลี้ยง”
“อาคารชุด” หรือ “บ้านจัดสรร” ที่มี “บริการ” ในลักษณะนี้จะดึงดูด “กลุ่มลูกค้า” หลากหลาย โดยเฉพาะ “กลุ่มลูกค้าต่างชาติ” ที่ต้องการความสะดวกสบายสูงสุด “ผู้สูงอายุ” ที่ต้องการ “ที่อยู่อาศัย” ที่พร้อมด้วยการดูแลสุขภาพและบริการส่วนตัว และ “กลุ่มคนรุ่นใหม่” ที่มี “รายได้สูง” ที่ให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ที่สะดวกสบายและประหยัดเวลา ซึ่งพวกเขาพร้อมที่จะจ่ายเพื่อ “บริการ” ที่เหนือกว่าบริการพื้นฐานของ “โครงการที่อยู่อาศัย” ทั่วไป
โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use and Mini Mixed-Used) จะได้รับความนิยมอย่างสูง
“โครงการที่มีส่วนผสมของอสังหาริมทรัพย์หลายประเภท” หรือ “โครงการมิกซ์ยูส” (Mixed-Used) จะได้รับ “ความนิยมมากขึ้น” อย่างเห็นได้ชัดในปี 2568 แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โครงการขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังรวมถึง “Mini Mixed-Used” ที่เน้นการผสมผสานฟังก์ชันการใช้งานในพื้นที่ที่เล็กลง
การพัฒนา “โครงการที่อยู่อาศัย” ที่ในโครงการหรือในบริเวณใกล้เคียงมีการพัฒนา “ศูนย์การค้า” “โรงแรม” “สำนักงาน” “โรงพยาบาล” หรือ “โรงเรียนนานาชาติ” อยู่ด้วย จะตอบสนองความต้องการในการอยู่อาศัยจริงได้ดียิ่งขึ้น ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตได้ครบจบในที่เดียว ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ทำให้ชีวิตมีคุณภาพและสะดวกสบายมากขึ้น
“โครงการอสังหาริมทรัพย์” แต่ละประเภทใน “โครงการมิกซ์ยูส” ยัง “สนับสนุนซึ่งกันและกัน” เช่น “โรงแรม” ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้ใช้บริการ “สำนักงาน” สร้างทราฟฟิกให้กับ “ศูนย์การค้า” และ “ที่อยู่อาศัย” ก็ได้รับประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมด การพัฒนาโครงการลักษณะนี้ “ผู้ประกอบการ” มักจะมองหา “พันธมิตรทางธุรกิจ” ที่มีความเชี่ยวชาญใน “อสังหาริมทรัพย์” ประเภทที่ตนยังขาดความชำนาญ โดยอาจทำในลักษณะ “ร่วมทุน” (Joint Ventures) หรือ “การจ้างบริษัทที่มีความชำนาญ” เข้ามาช่วยบริหารจัดการ เช่น “เชนโรงแรม” ที่เข้ามาบริหารส่วน “โรงแรม” ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มมูลค่าให้กับ “โครงการอสังหาริมทรัพย์” โดยรวม
การมุ่งเน้นตลาดลูกค้าต่างชาติ: โอกาสทองของอสังหาริมทรัพย์ไทย
“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ” ยังคงมีข้อจำกัดในการเติบโต จากกำลังซื้อของ “ลูกค้าไทย” ที่มีข้อจำกัด และ “จำนวนประชากรที่ลดลง” ในขณะที่ “ประเทศไทย” ยังคงมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในกลุ่ม “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” และผู้ที่มองหา “การลงทุน” หรือ “ที่อยู่อาศัยระยะยาว” ในต่างแดน
นอกจากนี้ “นโยบายของรัฐบาล” ยังคงสนับสนุนให้ “ต่างชาติ” เข้ามา “ลงทุน” และ “ทำงานในประเทศไทย” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการส่งเสริมการลงทุน (BOI) วีซ่าระยะยาวสำหรับผู้ที่มีศักยภาพ (LTR Visa) หรือการดึงดูดกลุ่ม Digital Nomads และผู้เกษียณอายุ “แรงดึงดูด” สำคัญยังรวมถึง “ค่าครองชีพต่ำ” “การบริการทางการแพทย์” ที่มีคุณภาพ “ผู้คนที่เป็นมิตร” และวัฒนธรรมที่น่าหลงใหล ทำให้ “อสังหาริมทรัพย์ไทย” กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นลูกค้าต่างชาติ” จึงเป็น “ตลาด” ที่ “ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย” ให้ความสนใจอย่างมาก และจะเป็น “แนวโน้มสำคัญ” ในอนาคตอันใกล้ แม้ว่าปัจจุบันยังมีข้อจำกัดเรื่อง “ข้อกฎหมายในการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของต่างชาติ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม “ที่อยู่อาศัยแนวราบ” แต่ก็มีการผลักดันจาก “ผู้ประกอบการ” และ “สมาคมด้านอสังหาริมทรัพย์” อย่างต่อเนื่อง หากสามารถ “ปลดล็อก” หรือ “ผ่อนปรนข้อจำกัดด้านกฎหมาย” ดังกล่าวได้ เชื่อว่า “การเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทย” ของ “คนต่างชาติ” จะกลายเป็น “ปัจจัยสำคัญ” อีกประการหนึ่งในการ “ผลักดันการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในอนาคต” ทำให้ “Yield อสังหา” สำหรับนักลงทุนต่างชาติมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น
ความยั่งยืนและ ESG: แกนหลักของการพัฒนาโครงการ
ในปี 2568 และในอนาคต “ความยั่งยืน” (Sustainability) และหลักการ “ESG” (Environmental, Social, Governance) จะไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็น “แกนหลัก” ในการพัฒนา “โครงการอสังหาริมทรัพย์” ผู้ซื้อและผู้เช่า โดยเฉพาะ “คนรุ่นใหม่” ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมากขึ้น
“โครงการอสังหาริมทรัพย์” ที่ได้รับการรับรอง “อาคารเขียว” (Green Building) มีการใช้พลังงานทางเลือก “การจัดการขยะ” ที่มีประสิทธิภาพ หรือมีการออกแบบที่ช่วยประหยัดพลังงาน จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้ “โครงการอสังหาริมทรัพย์” ที่ส่งเสริม “คุณภาพชีวิต” ของผู้อยู่อาศัยและชุมชนรอบข้าง เช่น มีพื้นที่สีเขียวมากเพียงพอ มีการเข้าถึง “ระบบขนส่งสาธารณะ” ที่สะดวก หรือมีส่วนร่วมในการพัฒนา “สังคม” จะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และเป็นที่ต้องการของ “ตลาด” มากกว่า “โครงการ” ที่เน้นเพียงแค่ความหรูหราแต่ละเลย “ความยั่งยืน”
“ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์” จะต้องปรับกลยุทธ์การพัฒนา “โครงการ” ให้สอดคล้องกับหลัก “ESG” เพื่อตอบสนองความต้องการของ “ผู้บริโภค” ที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อดึงดูด “การลงทุน” จากกองทุนที่เน้น “การลงทุนอย่างยั่งยืน” นี่คือโอกาสในการสร้างความแตกต่างและสร้าง “มูลค่าระยะยาว” ให้กับ “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์”
สรุปและก้าวต่อไป
จาก “แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์” ที่ผมได้นำเสนอไปข้างต้น คงจะพอเห็นภาพแล้วว่า “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ประเภท “ที่อยู่อาศัยของไทย” ในอนาคตอันใกล้นี้ จะไม่ได้เติบโตด้วยวิธีการและรูปแบบ “การพัฒนาโครงการ” แบบเดิมๆ อีกต่อไป “ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน” กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และ “เวลา” จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งที่คาดการณ์ไว้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และในรูปแบบใดบ้าง
การปรับตัวอย่างรวดเร็ว การนำ “นวัตกรรมอสังหาริมทรัพย์” มาใช้ การทำความเข้าใจ “กลุ่มลูกค้า” ที่หลากหลาย และการมองหา “โอกาสทางธุรกิจ” ใหม่ๆ ใน “ตลาดเช่า” “ตลาดมือสอง” “Service Residence” “โครงการมิกซ์ยูส” หรือแม้กระทั่ง “ตลาดต่างชาติ” ที่มีศักยภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จใน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568” และปีต่อๆ ไป “ผู้ประกอบการ” หรือ “นักลงทุน” ที่สามารถปรับตัวได้เร็วกว่า ย่อมมีโอกาสคว้า “โอกาสทางธุรกิจ” และสร้าง “ผลตอบแทนการลงทุน” ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน
หากท่านกำลังมองหา “โอกาสในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ในอนาคต ต้องการ “คำปรึกษาเชิงลึก” เพื่อการตัดสินใจที่ “ชาญฉลาด” หรือวางแผน “การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” ให้ทันสมัยและตอบโจทย์ “เทรนด์อสังหา” แห่งยุค ทีมงาน “ผู้เชี่ยวชาญอสังหาริมทรัพย์” ของเราพร้อมเป็นที่ปรึกษาให้ท่านก้าวทันทุกการเปลี่ยนแปลง และพิชิตความสำเร็จใน “ตลาดอสังหาริมทรัพย์” ที่ไม่หยุดนิ่งนี้ ติดต่อเราวันนี้เพื่อสำรวจเส้นทางสู่ “การลงทุนที่ยั่งยืน” และ “ผลกำไร” ที่เหนือกว่า.

