ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย 2568: ฝ่าวิกฤต GDP ต่ำ สู่ยุคใหม่แห่งความมั่งคั่งและการลงทุน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการเศรษฐกิจการเงินมานานกว่าทศวรรษ ผมมองว่าปี 2568 ไม่ใช่แค่เพียงการก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ แต่เป็นห้วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง และวางรากฐานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะมาถึง พร้อมกับกระแสความคาดหวังจากภาคธุรกิจและนักลงทุน จะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทาง อนาคตเศรษฐกิจไทย ในทศวรรษข้างหน้า เราไม่สามารถดำเนินนโยบายแบบเดิมๆ ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่เฉียบคม และลงมือปฏิรูปอย่างกล้าหาญเพื่อปลดล็อกศักยภาพของประเทศอย่างแท้จริง
ถอดรหัสกับดัก GDP ต่ำ: เหตุใด 1% จึงไม่พอสำหรับประเทศไทย
ปัญหาเรื้อรังที่ฉุดรั้ง GDP ประเทศไทย มานานคืออัตราการเติบโตที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน อยู่ในระดับ 1-2% ต่อปี ซึ่งไม่เพียงพออย่างยิ่งสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนา การเติบโตในระดับนี้ทำให้ประเทศไทยเสี่ยงที่จะติดกับดักรายได้ปานกลาง และถูกประเทศอื่น ๆ ที่เคยตามหลังเราแซงหน้าไปอย่างรวดเร็ว หากพิจารณารายได้ต่อหัว (GDP per capita) ที่ยังคงวนเวียนอยู่แถว 7,000 เหรียญสหรัฐฯ เราจะเห็นภาพชัดเจนว่าคุณภาพชีวิตและโอกาสทางเศรษฐกิจของประชาชนไทยยังคงต้องการการยกระดับอย่างมหาศาล
จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา ปัญหาการเติบโตที่ซบเซาไม่ใช่เพียงผลลัพธ์จากปัจจัยภายนอก แต่ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องการขาดการลงทุนใหม่ๆ การพึ่งพาอุตสาหกรรมเดิมๆ ที่เริ่มจะหมดความได้เปรียบ และที่สำคัญที่สุดคือปัญหา หนี้ครัวเรือน ที่พอกพูนจนกลายเป็นภาระหนักอึ้ง ฉุดรั้งกำลังซื้อและศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจึงเป็นหัวใจสำคัญในการหลุดพ้นจากกับดักนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถกลับมาเติบโตได้ที่ระดับ 3-4% ซึ่งเป็นอัตราที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
วิกฤตหนี้ครัวเรือน 2568: ภัยเงียบที่ฉุดรั้งการบริโภคและการลงทุน
ประเด็นร้อนที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยในปี 2568 คือสถานการณ์ หนี้ครัวเรือน ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างน่าเป็นห่วง และเป็นปัจจัยสำคัญที่จำกัดความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากตัวเลขที่ยังคงเกินกว่า 90% ของ GDP แม้จะมีนโยบายแก้หนี้ออกมาบ้าง แต่ยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมที่ยั่งยืน การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่การบรรเทาเฉพาะหน้า แต่ต้องมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างหนี้ การให้ความรู้ทางการเงิน และที่สำคัญคือการเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ เพื่อให้ครัวเรือนไทยสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง หนี้ครัวเรือนที่ลดลงจะส่งผลบวกอย่างมหาศาลต่อ กำลังซื้อผู้บริโภค และเปิดโอกาสให้ภาค อสังหาริมทรัพย์ไทย ฟื้นตัวได้อย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันต้องเผชิญกับอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงถึง 50-70% จากสถาบันการเงินที่เข้มงวด
การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนต้องเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญสูงสุด ไม่ใช่เพียงเพื่อภาคอสังหาฯ เท่านั้น แต่เพื่อปลดล็อกศักยภาพการบริโภคและการลงทุนในทุกภาคส่วนของ เศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตที่แข็งแกร่งและทั่วถึง
จุดประกาย การลงทุนต่างประเทศ: ดึงดูดทุนคุณภาพสูง สร้างอนาคตใหม่
หนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยพลิกโฉม เศรษฐกิจไทย ในปี 2568 คือการดึงดูด การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ให้เข้ามาในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-Curve ใหม่ ที่จะช่วยเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและสินค้าส่งออกของไทยให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และสอดรับกับเมกะเทรนด์โลก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง (AI, IoT) พลังงานสะอาด และชีวเศรษฐกิจ
ที่ผ่านมา การส่งเสริมการลงทุนโดย BOI อาจได้แค่ตัวเลขการขอสิทธิประโยชน์ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการทำให้เกิดการลงทุนจริง การย้ายฐานการผลิตจริง และการถ่ายทอดเทคโนโลยีจริง การที่นักลงทุนต่างชาติจะเลือกเข้ามาลงทุนในไทยนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่สิทธิประโยชน์ด้านภาษี แต่ยังรวมถึงความเชื่อมั่นในนโยบายที่มั่นคง เสถียรภาพทางการเมือง ที่ยั่งยืน และความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) ที่ไร้ซึ่งอุปสรรคจากระบบราชการ
ในยุคที่การแข่งขันเพื่อดึงดูด FDI ทั่วโลกทวีความรุนแรง ประเทศไทยจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและแตกต่าง เพื่อนำเสนอคุณค่าที่เหนือกว่าคู่แข่ง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและโลจิสติกส์ที่ทันสมัย การสร้างบุคลากรที่มีทักษะตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และการส่งเสริมระบบนิเวศนวัตกรรม ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อดึงดูดทุนคุณภาพสูงที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ GDP ประเทศไทย อย่างแท้จริง
ยุติประชานิยม: สร้างนโยบายเศรษฐกิจที่ยั่งยืนด้วยวินัยทางการคลัง
เสียงจากภาคธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้าน ธุรกิจการเงิน ต่างสะท้อนตรงกันถึงความกังวลต่อนโยบายประชานิยมที่มักเข้ามาบั่นทอนวินัยทางการคลัง และสร้างผลลัพธ์ที่ฉาบฉวย ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตออย่างแท้จริง ในปี 2568 รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องกล้าที่จะลด ละ เลิกการดำเนินนโยบายที่เน้นการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่กลับไม่ก่อให้เกิดการลงทุนระยะยาว หรือการเพิ่มศักยภาพในการผลิตของประเทศ
การแก้ปัญหา เศรษฐกิจไทย ต้องอาศัยการวินิจฉัยโรคอย่างแม่นยำและวางแผนการรักษาที่ตรงจุด เหมือนการรักษาอาการป่วย ไม่ใช่แค่ให้ยาแก้ปวดที่บรรเทาได้เพียงชั่วคราว นโยบายเศรษฐกิจที่ยั่งยืนควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การวิจัยและพัฒนา การยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันและการสร้างสรรค์นวัตกรรม สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การเติบโตที่แข็งแกร่งและมีความหมายในระยะยาว และยังจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับ ตลาดหุ้นไทย ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของนักลงทุนต่อทิศทางเศรษฐกิจ
ปลดล็อกศักยภาพ ตลาดทุนไทย: กลไกขับเคลื่อนการเติบโตที่ไร้ขีดจำกัด
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ใน ตลาดทุน ผมมองว่า ตลาดหุ้นไทย คือหัวใจและแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ที่ผ่านมายังไม่ได้รับการใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ รัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศหลังจากนี้ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาตลาดทุนให้เป็น “เครื่องยนต์” สำคัญอีกตัวหนึ่งในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย
เมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น จะสร้างความมั่งคั่งให้กับนักลงทุน และกระตุ้นการบริโภคในระบบเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน เพราะผู้ที่มีกำไรจากหุ้นมักจะใช้จ่ายเงินทันที ซึ่งเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ตลาดทุนเป็นของทุกคน ไม่ใช่แค่คนกลุ่มบน แต่ต้องส่งเสริมให้ประชาชนทุกระดับเข้ามามีส่วนร่วมและเข้าถึงการลงทุนในตลาดหุ้นได้มากขึ้น ด้วยการให้ความรู้ สร้างผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย และลดอุปสรรคในการเข้าถึง
การที่ตลาดทุนสามารถระดมเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ มีแหล่งเงินทุนในการขยายกิจการ สร้างนวัตกรรม และสร้างงาน ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่การเติบโตของ GDP ประเทศไทย และความมั่งคั่งโดยรวมของประเทศ
เสถียรภาพการเมืองและทีมเศรษฐกิจที่เป็นเอกภาพ: รากฐานของความเชื่อมั่นนักลงทุน
ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ คือ เสถียรภาพทางการเมือง และความต่อเนื่องของนโยบาย หากการเมืองผันผวน เปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้ง นโยบายก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ย่อมทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและลังเลที่จะเข้ามาลงทุนในระยะยาว
ในปี 2568 และต่อๆ ไป ประเทศไทยจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มั่นคง มีพรรคขนาดใหญ่ที่สามารถบริหารประเทศได้อย่างมีเอกภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระทรวงเศรษฐกิจ ควรมีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่สามารถกำกับดูแลและประสานงานนโยบายต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินนโยบายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีความต่อเนื่อง และสามารถตอบสนองต่อพลวัตของ เศรษฐกิจโลก 2025 ได้อย่างทันท่วงที ความเป็นเอกภาพนี้จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือในสายตานักลงทุนทั่วโลก
ฟื้นฟู อสังหาริมทรัพย์ไทย 2568: ก้าวพ้นความท้าทายในรอบ 20 ปี
ภาค อสังหาริมทรัพย์ไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายสูงสุดในรอบสองทศวรรษ ทั้งอุปทานและอุปสงค์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 ปัญหานี้เกี่ยวพันโดยตรงกับวิกฤต หนี้ครัวเรือน ที่ทำให้ความสามารถในการกู้ซื้อบ้านของประชาชนลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 50-70% ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาด
รัฐบาลใหม่ควรพิจารณามาตรการกระตุ้นที่ตรงจุดมากขึ้น นอกเหนือจากการลดค่าโอน-จดจำนอง เช่น การเร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ การสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง และการสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนให้กับภาคเอกชน นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะช่วยกระตุ้น อสังหาริมทรัพย์ ในพื้นที่ต่างๆ และสร้างความต้องการในระยะยาว
ปฏิรูปราชการ แก้คอร์รัปชัน: สร้าง สภาพแวดล้อมธุรกิจ ที่โปร่งใสและคล่องตัว
หนึ่งในข้อเรียกร้องที่สำคัญจากผู้ประกอบการและนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ คือการปรับปรุงนโยบาย Ease of Doing Business ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น การติดต่องานกับหน่วยงานราชการไทยยังคงเผชิญกับความล่าช้า ซับซ้อน และที่สำคัญคือปัญหา การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ที่เป็นต้นทุนแฝงในการขออนุมัติ-อนุญาตต่างๆ ทำให้ประเทศไทยขาดความน่าดึงดูดในการลงทุน
รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปกระบวนการทำงานของระบบราชการให้มีความรวดเร็ว โปร่งใส และมีมาตรฐานสากล การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการให้บริการภาครัฐ (e-Service) จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ และลดโอกาสในการทุจริตคอร์รัปชั่น การสร้างศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนและประชาชนอย่างมหาศาล ซึ่งจะส่งผลให้ การลงทุนในไทย มีความน่าสนใจมากขึ้น
ยกระดับ ทักษะแรงงาน: เตรียมพร้อมสู่ เศรษฐกิจแห่งอนาคต
การพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย สู่ยุคใหม่ รัฐบาลควรเร่งดำเนินโครงการ Upskill-Reskill ครั้งใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อพัฒนา ทักษะแรงงาน ให้สอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล และพลังงานสะอาด
การลงทุนในการศึกษาและฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ประเทศไทยมีบุคลากรที่มีคุณภาพ สามารถแข่งขันได้ในตลาดแรงงานโลก และดึงดูดอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงให้เข้ามาลงทุน การสร้าง “มนุษย์” ที่ผู้ประกอบการอยากได้ไปทำงานด้วย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เศรษฐกิจดิจิทัล ของไทยเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
ชูจุดแข็ง การท่องเที่ยวไทย Wellness และ Regional Logistic Hub
แม้จะเผชิญความท้าทายหลายด้าน แต่ประเทศไทยยังคงมีจุดแข็งที่โดดเด่นและสามารถนำมาต่อยอดเพื่อสร้างการเติบโตได้ทันที นั่นคือ ภาคการท่องเที่ยวไทย ที่ได้รับการยอมรับในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก และศักยภาพด้าน Wellness & Health Tourism ที่คนไทยมี “Service Mind” ซึ่งเป็นจุดได้เปรียบที่ชาติอื่นเลียนแบบได้ยาก
รัฐบาลควรส่งเสริม การท่องเที่ยวไทย ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเน้นการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและมีกำลังซื้อสูง พัฒนาสินค้าและบริการท่องเที่ยวที่หลากหลาย สร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวให้ทันสมัยและเข้าถึงง่าย นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จะช่วยดึงดูดชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อมหาศาลให้เข้ามาพำนักในระยะยาว ซึ่งจะสร้างรายได้และกระตุ้น เศรษฐกิจ อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Regional Logistic Location) เราอยู่ตรงกลางระหว่างเหนือกับใต้ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็นถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ หรือสนามบิน จะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก และทำให้ไทยกลายเป็น ศูนย์กลางการค้า และการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาค
กรณีศึกษาภูเก็ต: ต้นแบบเมืองท่องเที่ยวระดับโลกกับการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน
จากมุมมองของภาคธุรกิจในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่สร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศ ยังคงเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่รอการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เช่น ปัญหาการจราจรติดขัด ขยะล้นเมือง น้ำประปาไม่เพียงพอ และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ปัญหาเหล่านี้บั่นทอนศักยภาพในการเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่างแท้จริง
ข้อเสนอแนะที่สำคัญคือ การเร่งลงทุนใน เมกะโปรเจกต์ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางด่วน และระบบขนส่งมวลชน เพื่อจัดระเบียบและยกระดับภูเก็ตให้เป็นเมืองน่าอยู่และเมืองท่องเที่ยวที่มีมาตรฐานระดับโลกอย่างแท้จริง นอกจากนี้ การจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนและชาวต่างชาติที่ต้องการติดต่อราชการ ทำให้การทำธุรกิจและการพำนักระยะยาวในภูเก็ตเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
หากเราสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ภูเก็ตจะเป็นต้นแบบที่สมบูรณ์แบบของการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อ การท่องเที่ยวไทย ในภาพรวม
ก้าวสู่ อนาคตเศรษฐกิจไทย ที่ยั่งยืน: บทสรุปและคำเชิญชวน
ปี 2568 คือปีแห่งโอกาสและความท้าทายที่ประเทศไทยไม่สามารถมองข้ามได้ เราได้เห็นแล้วว่าการเติบโตในอดีตไม่สามารถเป็นหลักประกันสำหรับอนาคตได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง จากปัญหา GDP ที่เติบโตต่ำ หนี้ครัวเรือน ที่เป็นภาระหนัก การขาด การลงทุนต่างประเทศ คุณภาพสูง และอุปสรรคจากระบบราชการ ล้วนเป็นจิ๊กซอว์ที่ต้องนำมาจัดวางใหม่ เพื่อสร้างภาพ เศรษฐกิจไทย ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในภาคธุรกิจการเงิน ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีศักยภาพและจุดแข็งที่โดดเด่นมากมาย ทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรมที่งดงาม และ Service Mind ของคนไทย หากรัฐบาลใหม่สามารถวางนโยบายที่เน้นการปฏิรูปโครงสร้างอย่างจริงจัง ปลอดพ้นจากนโยบายประชานิยม เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เราจะสามารถพลิกฟื้น อนาคตเศรษฐกิจไทย ให้กลับมาเติบโตได้อย่างโดดเด่น และสร้างความมั่งคั่งที่กระจายไปสู่ประชาชนทุกคน
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องร่วมกันลงมือ ในฐานะพลเมือง นักลงทุน หรือผู้ประกอบการ เราทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของประเทศ มาร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและนวัตกรรม และสร้าง เศรษฐกิจไทย ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับลูกหลานของเราทุกคนในปี 2568 และตลอดไป!

