การรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจไทย: ทางออกเหนือหลุมพราง GDP ต่ำ 1% สู่ปี 2569 ที่เป็นโอกาสทอง
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเงินและอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมมองว่าปี 2568 กำลังจะปิดฉากลงด้วยความหวังและความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2569 ที่คาดการณ์ว่าจะเป็นปีแห่งการเลือกตั้งครั้งสำคัญ ซึ่งมีศักยภาพในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยไปอีกหลายทศวรรษข้างหน้า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและภูมิทัศน์การแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศไทยยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ ไม่ใช่เพียงแค่การประคับประคองสถานการณ์ แต่เป็นการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง เพื่อหลีกหนีจากกับดักการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ต่ำกว่า 1-2% ซึ่งไม่เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศกำลังพัฒนาให้ก้าวพ้นจากภาวะรายได้ปานกลาง
เสียงสะท้อนจากภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นนักบริหารธุรกิจการเงินระดับแสนล้าน หรือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เผชิญความท้าทายสูงสุดในรอบ 20 ปี ล้วนชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะต้องกล้าที่จะ “รื้อ” และ “สร้าง” ใหม่ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะเกิดขึ้น ต้องนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การเงิน และการบริหารประเทศอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ขับเคลื่อนตลาดทุนให้เป็นหัวใจของการระดมทุน และละเลิกนโยบายประชานิยมที่บั่นทอนวินัยทางการคลัง พร้อมกับขจัดปัญหาอุปสรรคในการทำธุรกิจและแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่ฝังรากลึกในระบบราชการ
รื้อโครงสร้างเพื่อหลีกหนี GDP ต่ำ: วาระแห่งชาติที่รอไม่ได้
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจทางการเงินขนาดใหญ่ของประเทศ ได้ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างจริงจัง หลายปีที่ผ่านมา เราเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังเพียง 1-2% ต่อปี ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับศักยภาพและประเทศคู่แข่งในภูมิภาค รายได้ต่อหัวของคนไทยที่ยังคงวนเวียนอยู่ประมาณ 7,000 เหรียญสหรัฐฯ นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การเติบโตในระดับนี้ทำให้ประเทศไทยเสี่ยงที่จะล้าหลังและถอยห่างจากประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังเร่งพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
สิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเป็นระบบคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่พุ่งสูงจนน่าเป็นห่วง และเป็นเสมือนกับดักที่ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนต้องไม่ใช่เพียงมาตรการชั่วคราว แต่ต้องเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนและเห็นผลจริง โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ให้ลงมาอยู่ที่ระดับ 80% และรักษาให้อยู่ในระดับนั้นให้ได้ หากปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ การบริโภคภายในประเทศก็จะยังคงถูกจำกัด และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่เต็มศักยภาพ
ประเด็นถัดมาที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) การลงทุนจากต่างชาติเป็นหัวใจสำคัญในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและโครงสร้างสินค้าส่งออกให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ที่ประเทศไทยต้องการ จะช่วยเพิ่มผลิตภาพและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ต้องทำงานเชิงรุกและสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขคำขอรับสิทธิประโยชน์ แต่เป็นการแปลงคำขอเหล่านั้นให้กลายเป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงและสร้างงานที่มีคุณภาพ
ในขณะที่ ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย รัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการพัฒนาให้ทั้งสองภาคส่วนนี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยการแสวงหาตลาดใหม่ๆ พัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และลดการพึ่งพิงตลาดเดิมๆ เช่น สหรัฐอเมริกา การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและการส่งออกสินค้าเกษตรมูลค่าสูง รวมถึงสินค้าเชิงนวัตกรรม คือกุญแจสำคัญในการสร้างความหลากหลายและยืดหยุ่นให้กับเศรษฐกิจ
เลิกประชานิยม: สร้างวินัยการคลังเพื่ออนาคต
ผู้บริหารระดับสูงจากทิสโก้ยังย้ำถึงความจำเป็นในการ ลดและเลิกนโยบายประชานิยม ซึ่งมักสร้างภาระต่องบประมาณของประเทศ และพิสูจน์แล้วว่าให้ผลลัพธ์ที่ไม่ยั่งยืนหรือเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ในสถานการณ์ที่ข้อจำกัดด้านงบประมาณมีสูง การใช้จ่ายภาครัฐควรเน้นไปที่การลงทุนเชิงโครงสร้าง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการทำธุรกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่รากเหง้าอย่างแท้จริง การรักษาเสถียรภาพทางการคลังเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ หากรัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายในแนวทางนี้ได้ ตลาดหุ้นไทยซึ่งเป็นหัวใจของการระดมทุน ก็จะตอบรับในเชิงบวกอย่างแน่นอน
ตลาดทุนไทย: หัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นายไพบูลย์เน้นย้ำว่า รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญกับ ตลาดหุ้นไทย มากกว่าที่ผ่านมา ตลาดทุนไม่เพียงเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับภาคเอกชน แต่ยังเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม หากตลาดหุ้นอยู่ในภาวะขาขึ้น จะส่งผลให้การบริโภคภายในระบบเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะผู้ที่ได้รับกำไรจากการลงทุนหุ้นมักจะใช้จ่ายเงินทันที ซึ่งสร้างกระแสเงินหมุนเวียนในระบบ การบริหารจัดการตลาดทุนให้ดี สามารถเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่สร้างพายุหมุนได้หลายรอบ และตลาดทุนควรเป็นของทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนกลุ่มผู้มีรายได้ระดับบนเท่านั้น รัฐบาลควรส่งเสริมให้คนไทยทุกระดับเข้ามามีส่วนร่วมกับตลาดหุ้นได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหุ้นปันผล หรือกองทุนรวมต่างๆ เพื่อกระจายความมั่งคั่งและสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึง
การเมืองนิ่ง ทีมเศรษฐกิจมีเอกภาพ: สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปเศรษฐกิจประสบความสำเร็จคือ เสถียรภาพทางการเมือง และการมี ทีมเศรษฐกิจที่มีเอกภาพ นโยบายของรัฐบาลจำเป็นต้องมีความต่อเนื่อง ไม่ใช่การเปลี่ยนรัฐบาลแล้วเปลี่ยนนโยบายทันที การเปลี่ยนแปลงนโยบายบ่อยครั้งสร้างความไม่แน่นอนและทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่น รัฐบาลที่เข้มแข็งและมีเสถียรภาพ ควรมีพรรคขนาดใหญ่ที่สามารถควบคุมกระทรวงเศรษฐกิจได้อย่างมีเอกภาพ มีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่สามารถกำกับดูแลและผลักดันนโยบายได้อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่การแบ่งกระทรวงเศรษฐกิจไปให้หลายพรรคดูแล ซึ่งอาจทำให้การประสานงานและการดำเนินนโยบายขาดประสิทธิภาพ
การมองข้ามปัญหานี้และดำเนินนโยบายแบบเดิมๆ จะทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตได้เพียง 1-2% ซึ่งไม่เพียงพอที่จะแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว เราต้องตระหนักว่าคู่แข่งของเราไม่ได้หยุดนิ่ง คนที่เคยอยู่ข้างหลังเรากำลังจะแซงหน้าเราไปแล้ว การปรับเปลี่ยนและก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
อสังหาริมทรัพย์: ความท้าทายสูงสุดในรอบ 20 ปี และโอกาสในการปฏิรูป
ภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญกับความท้าทายที่หนักหน่วงที่สุดในรอบสองทศวรรษ ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์และธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ชี้ว่าตลาดอยู่ในช่วงปรับฐานอย่างชัดเจน โดยมียอดโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 3 แสนหน่วย ลดลงจากระดับก่อนโควิดที่เคยมีสูงถึง 4 แสนหน่วยต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี และยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี ปัญหานี้เป็นผลพวงจากหลายปัจจัย ทั้งกำลังซื้อที่ลดลงจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อ หรือยอดกู้ไม่ผ่าน สูงถึง 50-70% ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ได้เสนอแนวทางแก้ไขที่สำคัญหลายประการ สิ่งแรกคือการปรับปรุงนโยบาย “Ease of Doing Business” หรือการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติสามารถประกอบธุรกิจได้อย่างสะดวก ง่าย และราบรื่น ควบคู่ไปกับการป้องกันและแก้ไขปัญหา การทุจริตคอร์รัปชัน ในระบบราชการอย่างจริงจัง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนแฝงในการติดต่อขออนุมัติและใบอนุญาตต่างๆ ตามกฎหมายไทย และสร้างความโปร่งใสที่จำเป็นต่อการลงทุน
การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงแต่ช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภคในทุกภาคธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากการกระตุ้นกำลังซื้อแล้ว รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการ เพิ่มศักยภาพแรงงาน (Upskill-Reskill) ให้คนไทยมีทักษะที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม New S-Curve ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนในโลกยุคใหม่ เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสะอาด และการแพทย์ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ไปต่อได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ การส่งเสริม ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งประเทศไทยได้รับการยอมรับในฐานะ “เดสติเนชั่น” ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จะเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาพักอาศัยระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อมั่งคั่งทั่วโลก ประเทศไทยมีจุดแข็งด้าน Wellness และธุรกิจบริการที่โดดเด่นจาก “Service Mind” ของคนไทย ซึ่งเป็นจุดได้เปรียบที่สำคัญ หากผนวกกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่ดีเยี่ยม เนื่องจากไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าและมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดีกว่าในระยะยาว
เสียงจากภูเก็ต: เมกะโปรเจกต์และการปฏิรูประบบราชการเพื่อเมืองระดับโลก
นางจันทร์ทิพย์ วานิช กรรมการผู้จัดการ ซีวีกรุ๊ป จังหวัดภูเก็ต ได้สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก แต่กลับเผชิญกับปัญหาสะสมมากมาย สิ่งที่อยากให้นักการเมืองแก้ไขมากที่สุดคือ ปัญหาความล่าช้าในการติดต่อขออนุญาตจากหน่วยงานราชการไทย ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนเสียโอกาสในการทำธุรกิจ รวมถึงปัญหาสำหรับลูกค้าต่างชาติที่ต้องการเข้ามาพักอาศัยระยะยาว
ข้อเรียกร้องที่มีมายาวนานคือการจัดตั้ง ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ในรูปแบบที่ภาคเอกชนหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถติดต่อใช้บริการภาครัฐได้ทุกด้าน ณ จุดเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และยาวนาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้ามาลงทุนและพักอาศัยในภูเก็ต
ขณะเดียวกัน แม้ภูเก็ตจะเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ แต่โครงสร้างพื้นฐานกลับไม่สามารถรองรับการเติบโตของเมืองได้ทัน ทำให้เกิดปัญหาเรื้อรัง เช่น รถติด ขยะล้นเมือง น้ำประปาไม่เพียงพอ และปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว การลงทุนใน เมกะโปรเจกต์ ภาครัฐ อาทิ ถนน ทางด่วน รถไฟฟ้า และระบบจัดการขยะและน้ำประปาที่ทันสมัย จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการจัดระเบียบและยกระดับภูเก็ตให้เป็นเมืองน่าอยู่และเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่างแท้จริง
ก้าวต่อไป: โอกาสของประเทศไทยในปี 2569
ปี 2569 ไม่ใช่แค่ปีแห่งการเลือกตั้ง แต่เป็นปีแห่งการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศไทย การปฏิรูปเชิงโครงสร้างตามข้อเสนอแนะของภาคเอกชนเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงความฝัน แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ หากรัฐบาลชุดใหม่มีความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ และความกล้าหาญที่จะลงมือทำอย่างจริงจัง การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน การดึงดูด FDI ในอุตสาหกรรมอนาคต การส่งเสริมตลาดทุนให้เข้มแข็ง การยกเลิกนโยบายประชานิยมเพื่อรักษาวินัยการคลัง การปรับปรุง Ease of Doing Business และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ล้วนเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะประกอบกันเป็นภาพของประเทศไทยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
ในฐานะนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญในตลาด เราพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ผู้นำประเทศต้องสร้างความชัดเจน ความเชื่อมั่น และแผนงานที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่คำสัญญา แต่ต้องเป็นการลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อปลดล็อกศักยภาพอันมหาศาลของประเทศ และพาเศรษฐกิจไทยทะยานสู่ยุคใหม่ที่สดใสกว่าเดิม
หากท่านเห็นด้วยกับแนวคิดการปฏิรูปเหล่านี้ และต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้า มาร่วมกันติดตามและสนับสนุนนโยบายที่สร้างสรรค์ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนไทยทุกคน!

