ปฏิรูปเศรษฐกิจไทย 2568: ถอดบทเรียนความท้าทาย สู่โอกาสลงทุนแห่งอนาคต
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองโลกที่ถาโถมในปี 2568 ประเทศไทยยืนอยู่บนทางแยกสำคัญที่ต้องตัดสินใจว่าจะก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง หรือจะยังคงติดหล่มอยู่ในกับดักของการเติบโตต่ำ หากมองย้อนไปตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและเศรษฐกิจที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดมานานกว่า 10 ปี ผมเห็นสัญญาณชัดเจนว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องรื้อโครงสร้างและปรับกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ เพื่อขับเคลื่อนประเทศหลุดพ้นจากภาวะ GDP โตต่ำ 1-2% ซึ่งไม่เพียงพอต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตและขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ: ก้าวข้ามกับดัก GDP ต่ำ
ปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาเป็นประเด็นเรื้อรังที่ภาคธุรกิจและประชาชนรับรู้ได้ GDP ต่อหัวของไทยยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 8,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ บ่งชี้ถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับผลิตภาพและมูลค่าเพิ่มของเศรษฐกิจ หากเรายังคงดำเนินนโยบายแบบเดิม การเติบโต 1-2% ต่อปีจะทำให้เราถอยห่างจากประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังเร่งเครื่องพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือ การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ในระยะยาวอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการสร้าง ความยั่งยืนทางการเงิน และ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่แท้จริง
หัวใจของการปฏิรูปนี้เริ่มต้นจากการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบ นี่ไม่ใช่เพียงแค่การเยียวยาระยะสั้น แต่คือการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้กับประชาชนในระยะยาว หากหนี้ครัวเรือนยังคงสูงกว่า 90% ของ GDP กำลังซื้อในประเทศก็จะถูกจำกัดอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน การผลักดันให้หนี้ครัวเรือนลดลงสู่ระดับที่ยั่งยืนราว 80% จึงเป็นภารกิจสำคัญที่ไม่ใช่แค่การบริหารจัดการหนี้ แต่เป็นการปลดล็อกศักยภาพการบริโภคและการ ลงทุน ของคนไทย การแก้ปัญหาหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดภาระที่บั่นทอน การวางแผนการเงิน ของครัวเรือนและเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าถึง สินเชื่อเพื่อการลงทุน ได้ง่ายขึ้น
ดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ: หัวใจของอนาคต
อีกหนึ่งเสาหลักที่ขาดไม่ได้คือการเร่งดึงดูด การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือที่เรียกว่า New S-Curve ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อน เศรษฐกิจดิจิทัล และ เศรษฐกิจสีเขียว ที่โลกกำลังให้ความสำคัญ รัฐบาลจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขคำขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่อาจไม่สะท้อนถึงการลงทุนที่เกิดขึ้นจริง การมุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่มีนวัตกรรมสูง เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ พลังงานสะอาด จะช่วยเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและยกระดับมูลค่าสินค้าส่งออกของไทยให้ทันสมัยและแข่งขันได้ใน ห่วงโซ่อุปทานโลก ที่กำลังปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
สำหรับภาคการส่งออกและท่องเที่ยวซึ่งยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 นี้ เราต้องไม่หยุดนิ่งในการแสวงหาตลาดใหม่ๆ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่ม การพึ่งพิงตลาดเดิมอย่างสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียวไม่ใช่กลยุทธ์ที่ยั่งยืนอีกต่อไป การขยายฐานสู่ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าและบริการไทย จะเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขัน
เลิกประชานิยม: สร้างวินัยการคลังเพื่ออนาคต
ประเด็นที่อ่อนไหวแต่จำเป็นต้องพูดถึงคือ การละเลิกนโยบายประชานิยมที่เน้นการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาระยะสั้น นโยบายเหล่านี้มักสร้างภาระทางการคลังในระยะยาวโดยไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ยั่งยืน การทำ นโยบายการเงิน และ นโยบายการคลัง ที่มีวินัยและโปร่งใสเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ การจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพไปสู่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ จะเป็นการใช้จ่ายที่สร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่แท้จริง ซึ่งหากรัฐบาลสามารถแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในเรื่องนี้ได้ เราจะเห็นการตอบรับเชิงบวกจาก ตลาดหุ้น และ ตลาดทุน โดยรวม
ตลาดหุ้น: หัวใจของการระดมทุนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นไทยควรได้รับการให้ความสำคัญในฐานะกลไกสำคัญในการระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่แค่สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ แต่เป็นแหล่งทุนสำหรับ ธุรกิจ SME ที่ต้องการขยายตัวและสร้างนวัตกรรม หากตลาดทุนมีการบริหารจัดการที่ดี มีสภาพคล่อง และได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง เมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นจะหมุนเวียนไปสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการบริโภคและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น การส่งเสริมให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึง พอร์ตลงทุน ที่หลากหลาย และได้รับข้อมูลที่โปร่งใส จะช่วยสร้างการเติบโตที่ทั่วถึงและยั่งยืน นักลงทุนสามารถมองหา หุ้นปันผลสูง หรือ หุ้นเติบโต ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
เสถียรภาพทางการเมือง: รากฐานของความเชื่อมั่น
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือเสถียรภาพทางการเมือง การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลและนโยบายที่บ่อยครั้งสร้างความไม่แน่นอนและลดทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ การมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และคณะทำงานด้านเศรษฐกิจที่มีเอกภาพ จะช่วยให้การดำเนินนโยบายมีความต่อเนื่องและชัดเจน การกำหนดวิสัยทัศน์ระยะยาวและยึดมั่นในแผนงานที่วางไว้ จะเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และดึงดูด การลงทุนต่างประเทศ ให้เข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง
อสังหาริมทรัพย์: ฟื้นตัวบนความท้าทายใหม่
ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568-2569 ยังคงเผชิญความท้าทายสูงสุดในรอบสองทศวรรษ อุปทานและอุปสงค์ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยยอดโอนกรรมสิทธิ์ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งกำลังซื้อและการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงถึง 50-70% เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ จาก SENA Development ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงนโยบาย Ease of Doing Business หรือความสะดวกในการประกอบธุรกิจ เพื่อลดต้นทุนแฝงและสร้างความโปร่งใสในการติดต่อราชการ การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันในระบบราชการเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะสิ่งเหล่านี้กัดกร่อนความน่าเชื่อถือและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อทั้งผู้ประกอบการไทยและนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังมีโอกาสในการปรับตัวและเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุ, ที่พักอาศัยเพื่อสุขภาพ (Wellness Residences) และโครงการที่เน้น ความยั่งยืน และเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Living) ซึ่งจะสอดรับกับเมกะเทรนด์โลก การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบจะช่วยปลดล็อกกำลังซื้อในระยะยาว และกระตุ้นให้ภาคอสังหาริมทรัพย์กลับมาคึกคักอีกครั้ง
เพิ่มศักยภาพแรงงาน: เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
การยกระดับศักยภาพของแรงงานไทยผ่านโครงการ Upskill และ Reskill เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรม New S-Curve ที่เน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม การลงทุนใน การศึกษาและการพัฒนาทักษะ จะเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว ทำให้ไทยมีแรงงานที่มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการในตลาดโลก นอกจากนี้ การส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว ซึ่งไทยมีจุดแข็งอยู่แล้วในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก ก็ต้องมุ่งเน้น การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงและสร้างรายได้ต่อหัวได้มาก
โครงสร้างพื้นฐานและลดขั้นตอนราชการ: ปลดล็อกศักยภาพภูมิภาค
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ระบบขนส่งมวลชน, ถนน, ท่าเรือ, และสนามบิน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูด การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การเป็น ศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค ต้องอาศัยการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมที่ดีเยี่ยมทั้งภายในและระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
ในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต เสียงสะท้อนจากภาคเอกชนยังคงชี้ให้เห็นถึงปัญหาความล่าช้าในการติดต่อขอใบอนุญาตจากหน่วยงานราชการ ปัญหาเหล่านี้ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจและบั่นทอนความสนใจของนักลงทุนและชาวต่างชาติที่ต้องการพำนักระยะยาว การจัดตั้ง ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ที่มีประสิทธิภาพและบูรณาการอย่างแท้จริง จะช่วยอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน และขจัดปัญหา การทุจริต ที่ยังคงเป็นต้นทุนแฝงในการทำธุรกิจ ซึ่งหากแก้ไขได้ ภูเก็ตและเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ จะสามารถเติบโตเป็น เมืองระดับโลก ได้อย่างเต็มศักยภาพ
นอกจากนี้ การจัดการปัญหาพื้นฐานของเมืองอย่างขยะ น้ำประปา และการจราจร รวมถึงการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ เพื่อจัดระเบียบและยกระดับคุณภาพชีวิต จะทำให้เมืองท่องเที่ยวเหล่านี้เป็นสถานที่ที่น่าอยู่และน่าลงทุนอย่างแท้จริง
บทสรุปและโอกาสข้างหน้า
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และต่อจากนี้ กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่ในทุกความท้าทายย่อมมีโอกาส หากเราสามารถแก้ไขปัญหาพื้นฐานได้อย่างจริงจัง ทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือน, การดึงดูด FDI ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย, การสร้างวินัยการคลัง, การส่งเสริมตลาดทุน, การปฏิรูประบบราชการ และการยกระดับศักยภาพแรงงาน ไทยจะสามารถปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ และกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนได้
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องร่วมกันสร้างอนาคตที่สดใสกว่าเดิม ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน นโยบายที่มุ่งมั่น และการลงมือทำอย่างจริงจัง ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพของคนไทยและทรัพยากรที่เรามี หากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างเป็นเอกภาพ เราจะสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และนำพาประเทศไทยก้าวสู่ยุคใหม่แห่ง การเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่แท้จริง
มองหาโอกาสการลงทุนที่ใช่ในสถานการณ์ปัจจุบัน? ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินของเราเพื่อรับคำแนะนำเชิงลึกและกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณวันนี้ เพื่อก้าวสู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน!

