พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยปี 2568: ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ดึงดูดการลงทุน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการเศรษฐกิจและการเงินไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นถึงพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และตระหนักดีว่าปี 2568 นี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับทางแยกที่สำคัญยิ่ง การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านทางการเมือง แต่คือโอกาสทองที่เราจะต้องฉกฉวย เพื่อพลิกโฉมเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากวงจรการเติบโตที่เชื่องช้า และสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
บทเรียนจากอดีตชี้ชัดว่า การพึ่งพานโยบายระยะสั้น หรือการละเลยปัญหาเชิงโครงสร้างมาอย่างยาวนาน ได้ฉุดรั้งศักยภาพที่แท้จริงของประเทศไว้ ส่งผลให้เราติดอยู่ในกับดักการเติบโตต่ำกว่า 1-2% มาหลายปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่เพียงพออย่างยิ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างเรา หากไม่เร่งแก้ไข GDP ต่อหัวของคนไทยที่ยังคงอยู่ในระดับประมาณ 7,000 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯ จะยิ่งถ่างช่องว่างกับประเทศคู่แข่งออกไปเรื่อยๆ นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังชัดว่า “ทำแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว” เราจำเป็นต้องมีรัฐบาลใหม่ที่กล้าตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ และดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ: กุญแจสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นหัวใจสำคัญ หากเราต้องการให้ประเทศไทยกลับมาเติบโตได้ 3-4% ต่อปี หรือสูงกว่านั้น สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ การจัดการกับ “หนี้ครัวเรือน” ที่เป็นปัญหาเรื้อรังและเป็นตัวถ่วงสำคัญของกำลังซื้อและการลงทุนในประเทศมาตลอด จากประสบการณ์ ผมเห็นว่าปัญหานี้ซับซ้อนกว่าแค่การอัดฉีดเงิน แต่ต้องแก้ที่ต้นตอ ทั้งการสร้างวินัยทางการเงิน การส่งเสริมอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ และการปรับโครงสร้างหนี้ให้ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ให้กลับมาอยู่ที่ระดับ 80% ให้ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เพราะหากเราไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ มันจะกลายเป็นกำแพงขวางกั้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยากจะก้าวข้าม
นอกจากหนี้ครัวเรือนแล้ว เรายังต้องหันมาให้ความสำคัญกับการ “เพิ่มผลิตภาพ” ของประเทศ (Productivity) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการลงทุนในเทคโนโลยี การยกระดับทักษะแรงงาน และการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนและการสร้างสรรค์นวัตกรรม
ดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ (FDI): สร้างพลวัตใหม่ให้เศรษฐกิจ
เพื่อหลุดพ้นจากการเป็นประเทศที่เศรษฐกิจโตช้า เราจำเป็นต้องเร่ง “ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” (FDI) เข้ามาในประเทศอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve” ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เทคโนโลยีดิจิทัล ชีวภาพและเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงพลังงานสะอาด สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่แค่การอนุมัติสิทธิประโยชน์ BOI บนหน้ากระดาษ แต่เป็นการอำนวยความสะดวกอย่างครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการขออนุญาตที่โปร่งใสและรวดเร็ว การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมเหล่านี้ เพื่อให้เงินลงทุนที่เข้ามาสามารถเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและโครงสร้างสินค้าส่งออกของเราได้อย่างแท้จริง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศบนเวทีโลก
ส่งออกและการท่องเที่ยว: เครื่องยนต์คู่ขนานที่ต้องติดเทอร์โบ
แม้ว่าการส่งออกและการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่เราไม่สามารถพึ่งพิงตลาดเดิมๆ หรือรูปแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่เคยเป็นผู้เล่นหลัก เราต้องเร่ง “แสวงหาตลาดใหม่ๆ” และ “พัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง” การมองหาโอกาสในภูมิภาคอาเซียน อินเดีย ตะวันออกกลาง หรือตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว
ในส่วนของการท่องเที่ยว เราต้องยกระดับจาก Mass Tourism สู่ “High-Value Tourism” และ “Wellness Tourism” ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงและกลุ่ม Digital Nomads จะช่วยเพิ่มรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยว และกระจายผลประโยชน์สู่ชุมชนท้องถิ่นได้กว้างขวางขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่รองรับการเติบโตของการท่องเที่ยวและคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ทันสมัย การบริหารจัดการขยะอย่างยั่งยืน และการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
เลิกนโยบายประชานิยม: สร้างเสถียรภาพทางการคลังระยะยาว
จากประสบการณ์ในอดีต ผมเห็นว่า “นโยบายประชานิยม” แม้อาจสร้างผลดีในระยะสั้น แต่กลับสร้างภาระทางการคลังมหาศาล และไม่ได้แก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ต้นตอ หากเรายังคงดำเนินนโยบายในลักษณะที่ให้ยาแก้ปวด แทนการรักษาโรค รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องกล้าที่จะ “ลดและเลิกนโยบายที่สร้างภาระงบประมาณโดยไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน” แต่หันมาใช้นโยบายที่เน้นการลงทุนในการพัฒนาศักยภาพของคนและการสร้างโอกาส เช่น การส่งเสริมการศึกษา การฝึกอบรมทักษะแรงงาน การวิจัยและพัฒนา และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตที่แท้จริงและเป็นประโยชน์ต่อคนทุกกลุ่มในระยะยาว หากรัฐบาลสามารถทำได้เช่นนี้ เราจะได้เห็น “ตลาดหุ้นไทย” ตอบรับในเชิงบวกอย่างมีนัยยะสำคัญ จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ตลาดหุ้น: หัวใจของการระดมทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
“ตลาดทุน” โดยเฉพาะ “ตลาดหุ้น” ถือเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับภาคธุรกิจ และเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ผ่านมา กลไกตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มศักยภาพ ผมอยากเห็นรัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา “ตลาดทุนไทย” ให้มีความแข็งแกร่ง โปร่งใส และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักลงทุนทุกระดับ ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้มีรายได้สูง การส่งเสริมความรู้ทางการเงิน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การลงทุนในโลกยุคใหม่ (เช่น กองทุน ESG, หุ้นกลุ่ม New S-Curve) และการยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบ และเป็นเครื่องยนต์อีกตัวที่สำคัญในการกระตุ้นการบริโภค หากตลาดหุ้นขาขึ้น ผู้ที่ได้กำไรจากการลงทุนก็จะนำเงินมาใช้จ่าย หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้หลายรอบ
การเมืองนิ่ง ทีมเศรษฐกิจมีเอกภาพ: สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
สิ่งที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต้องการมากที่สุดคือ “เสถียรภาพทางการเมือง” และ “ความต่อเนื่องของนโยบาย” การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง หรือการเปลี่ยนนโยบายกลับไปกลับมา ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่น และเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจลงทุนระยะยาว ผมอยากเห็นการรวมกลุ่มของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมั่นคง และมี “ทีมเศรษฐกิจที่มีเอกภาพ” สามารถกำกับดูแลกระทรวงเศรษฐกิจต่างๆ ได้อย่างบูรณาการ มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน และดำเนินนโยบายไปในทิศทางเดียวกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ความท้าทายในตลาดอสังหาริมทรัพย์: ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องเร่งแก้ไข
สำหรับ “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” นั้น จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุดในปี 2568 นี้ ยังคงเผชิญกับความท้าทายที่สูงที่สุดในรอบสองทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นอุปทานและอุปสงค์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากธนาคารต่างๆ ชี้ว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 และมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี สาเหตุหลักนอกเหนือจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ยังมาจาก “ปัญหาหนี้ครัวเรือน” ที่ส่งผลให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอย่างมาก จนเกิดปัญหายอดปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 50-70% ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการมีที่อยู่อาศัยของประชาชนและการฟื้นตัวของภาคอสังหาฯ
ดังนั้น รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามา “แก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน” อย่างเป็นระบบ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภค และผ่อนคลายความตึงเครียดในตลาดสินเชื่อบ้าน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะกับภาคอสังหาฯ เท่านั้น แต่จะส่งผลดีต่อธุรกิจทุกประเภท เพราะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อในภาพรวมของประเทศ นอกจากนี้ นโยบายสนับสนุนภาคอสังหาฯ ควรเน้นไปที่การสร้างสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เข้าถึงได้สำหรับกลุ่มต่างๆ และการส่งเสริม “การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์” เพื่อการเช่าหรือลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพ
Ease of Doing Business และการปราบปรามคอร์รัปชั่น: รากฐานของความโปร่งใส
ในฐานะผู้ประกอบการ ผมยืนยันว่าสิ่งที่อยากเห็นจากทุกรัฐบาลคือการยกระดับ “Ease of Doing Business” หรือความสะดวกในการประกอบธุรกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งคนไทยและนักลงทุนต่างชาติสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น ไร้อุปสรรค ควบคู่ไปกับการ “ป้องกันและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในระบบราชการ” อย่างจริงจังและเด็ดขาด เพราะคอร์รัปชั่นคือต้นทุนแฝงที่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสร้างความไม่เป็นธรรม การที่ต้องใช้เวลานานในการติดต่อขอใบอนุญาต หรือต้องเผชิญกับขั้นตอนที่ซับซ้อน เป็นสิ่งที่ต้องเร่งปฏิรูปผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในระบบราชการ การลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และการสร้างมาตรฐานความโปร่งใส
เพิ่มศักยภาพแรงงานสู่ S-Curve: การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์
เศรษฐกิจไทยจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว หากเราสามารถ “เพิ่มศักยภาพของประเทศด้วยการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์” รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการ “Upskill และ Reskill” คนไทยให้มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่ม “อุตสาหกรรม S-Curve” การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อออกแบบหลักสูตรที่ทันสมัย การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม จะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรม
Wellness และ Regional Logistic Location: จุดแข็งที่ต้องคว้าโอกาส
ประเทศไทยมีจุดแข็งที่โดดเด่นในด้าน “Wellness” และธุรกิจที่อิงการบริการ ด้วย Service Mind ของคนไทยที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก เราต้องใช้จุดแข็งนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริม “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” และการบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพระดับสากล เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาใช้บริการและพำนักระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มผู้เกษียณอายุที่มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลก
นอกจากนี้ “ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์” ของไทยในฐานะ Regional Logistic Location หรือศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นอีกหนึ่งความได้เปรียบที่เราต้องพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ การลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง” ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางราง เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค จะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและการลงทุน และทำให้ไทยเป็นประตูสู่ภูมิภาคอย่างแท้จริง
กรณีศึกษาภูเก็ต: ต้นแบบเมืองระดับโลกที่ต้องการเมกะโปรเจกต์
จังหวัดภูเก็ตเป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน ในฐานะเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ทำรายได้มหาศาลให้กับประเทศ ภูเก็ตกำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ เช่น การจราจรติดขัด ปัญหาขยะล้นเมือง การขาดแคลนน้ำประปา และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว การบริหารจัดการภาครัฐที่ล่าช้าและซับซ้อนในการติดต่อขออนุญาตต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่บั่นทอนศักยภาพของพื้นที่
ข้อเสนอแนะที่สำคัญคือ “การจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service)” สำหรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติ เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อราชการ ลดขั้นตอน ลดเวลา และสร้างความโปร่งใส นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเร่งลงทุนใน “เมกะโปรเจกต์” ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า), ถนนและทางด่วนที่เชื่อมโยงทั่วทั้งเกาะ และระบบบริหารจัดการขยะและน้ำแบบครบวงจร เพื่อยกระดับภูเก็ตให้เป็นเมืองน่าอยู่และเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่างแท้จริง ที่สามารถรองรับการเติบโตของประชากรและการท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน
บทสรุปและอนาคตที่รออยู่
การพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 และก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากรัฐบาลใหม่มีความกล้าหาญทางนโยบาย มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เราสามารถสร้างประเทศไทยที่แข็งแกร่ง มีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีคุณภาพ และเป็นสังคมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสได้อย่างเท่าเทียม
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองไปข้างหน้าด้วยความหวังและความมุ่งมั่น ร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าเดิมสำหรับประเทศไทยของเรา
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวสู่ศักราชใหม่แห่งความมั่งคั่งและยั่งยืน ด้วยการศึกษาข้อมูลเชิงลึก และร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างสรรค์นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ!
