• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D0512082 เธอถ กบ งค บให แต งงานก บเจ าชายน ทรา(ละครส น) หน งส นด BSC part2

admin79 by admin79
December 8, 2025
in Uncategorized
0
D0512082 เธอถ กบ งค บให แต งงานก บเจ าชายน ทรา(ละครส น) หน งส นด BSC part2

พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย 2568: วิสัยทัศน์ผู้เชี่ยวชาญ 10 ปี ชี้ทางรอด GDP ต่ำ-ดึงลงทุนยุคดิจิทัล สู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน

ในห้วงเวลาที่โลกกำลังหมุนไปอย่างรวดเร็ว และภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ประเทศไทยในปี 2568 กำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ การคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า (ซึ่งหมายถึงปี 2569) ได้จุดประกายความหวังและความท้าทายครั้งใหญ่ต่อภาคส่วนธุรกิจและผู้ลงทุน การเดินหน้าด้วยกรอบคิดเดิมๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป เสียงสะท้อนจากนักบริหารระดับสูง ผู้คร่ำหวอดในวงการการเงินและอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการ “รื้อโครงสร้าง” เศรษฐกิจของชาติอย่างจริงจัง เพื่อหลุดพ้นจากวงจรการเติบโตที่เชื่องช้า และเร่งสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน

ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงนี้มานานกว่า 10 ปี ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งขึ้นและลงของเศรษฐกิจไทยมาหลายยุคสมัย และสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า สภาวะในปัจจุบันไม่ใช่แค่เพียงวัฏจักรขาลงธรรมดา แต่เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า เรากำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกเกินกว่าจะแก้ไขด้วยนโยบายระยะสั้น สิ่งที่เราต้องการในตอนนี้คือแผนงานที่กล้าหาญ การลงทุนที่ชาญฉลาด และการบริหารจัดการที่มีวิสัยทัศน์เพื่อ “ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน” ของประเทศ ดึงดูด “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และฟื้นฟู “ตลาดทุน” ให้กลับมาเป็นกลไกขับเคลื่อนที่เปี่ยมประสิทธิภาพ พร้อมกันนี้ การแก้ไข “หนี้ครัวเรือน” ซึ่งเป็นปัญหารากฐานที่ฉุดรั้งกำลังซื้อและ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ บทความนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์เจาะลึกจากประสบการณ์ตรง พร้อมเสนอแนวทางที่ประเทศไทยควรเดินหน้าในปี 2568 และหลังจากนั้น เพื่อสร้าง “เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและเป็นธรรม” สำหรับทุกคน

หลุดพ้นจากกับดักการเติบโตต่ำ: วาระเร่งด่วนของเศรษฐกิจไทย

หนึ่งในประเด็นที่นักวิเคราะห์และผู้ประกอบการต่างเห็นพ้องต้องกันคือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่อยู่ในระดับต่ำเตี้ยมานานกว่าทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ที่แนวโน้มยังคงวนเวียนอยู่กับตัวเลข GDP ที่ 1-2% นับเป็น “ความท้าทายเชิงโครงสร้าง” ที่บ่อนเซาะรากฐานความมั่งคั่งของชาติ การเติบโตระดับนี้ไม่เพียงพออย่างยิ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนาเช่นไทย ที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตพลเมือง และ “ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน” บนเวทีโลก หากเราเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านหรือแม้แต่คู่แข่งในระดับเดียวกัน เราจะพบว่าประเทศไทยกำลัง “ถดถอย” ออกห่างจากเป้าหมายของการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

รายได้ประชาชาติต่อหัว (GDP per capita) ของคนไทยที่ยังคงวนเวียนอยู่ราว 7,000 กว่าเหรียญสหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาผลิตภาพ (productivity) ที่ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ และการกระจายตัวของ “ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ” ที่ยังไม่ทั่วถึง การที่เศรษฐกิจเติบโตเพียงน้อยนิดหมายถึงการขาด “โอกาสการลงทุน 2568” ในภาคส่วนใหม่ๆ การสร้างงานที่มีคุณภาพต่ำ และความสามารถในการแก้ปัญหาทางสังคมที่จำกัดลง ในฐานะผู้ที่เฝ้าติดตาม “ภาวะเศรษฐกิจไทย” มาอย่างใกล้ชิด ผมยืนยันว่า เราไม่สามารถเดินหน้าด้วยโมเดลเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว การปฏิรูปโครงสร้างอย่างจริงจังเท่านั้นที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การเติบโต 3-4% หรือสูงกว่า ซึ่งเป็นระดับที่จำเป็นต่อการสร้าง “ความกินดีอยู่ดีที่ยั่งยืน” ให้แก่ประชาชน

ปลดแอกกับดักหนี้ครัวเรือน: กุญแจสู่การฟื้นฟูกำลังซื้อ

ปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ยังคงเป็นหนึ่งในเงาสะท้อนที่มืดมิดที่สุดของ “เศรษฐกิจไทย” และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในปี 2568 ด้วยสถิติที่ยังคงอยู่ในระดับสูงถึงกว่า 90% ของ GDP ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ในฐานะนักวิเคราะห์ที่ติดตามภาคการเงินมานาน ผมมองว่านี่คือ “กับดักทางเศรษฐกิจ” ที่รัดรึงกำลังซื้อของประชาชน และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” และภาคธุรกิจอื่นๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อภาระหนี้สูง ประชาชนก็เหลือเงินสำหรับการใช้จ่ายและการออมน้อยลง ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมขาดแรงส่งที่จำเป็นต่อการเติบโต

การแก้ไข “วิกฤตหนี้ครัวเรือน” ไม่ใช่แค่การบรรเทาอาการเฉพาะหน้า แต่ต้องเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอและอย่างยั่งยืน รัฐบาลจำเป็นต้องมี “นโยบายการเงินการคลัง” ที่รอบคอบและมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน เพื่อลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนลงมาให้ได้ตามเป้าหมายที่ประมาณ 80% หรือต่ำกว่านั้นอย่างจริงจัง ซึ่งอาจรวมถึงการส่งเสริม “วินัยทางการเงิน” การปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และการสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน การที่สถาบันการเงินต้องเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ “การกู้ซื้อบ้าน” ซึ่งทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 50-70% นั้น เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนได้สร้างความท้าทายอย่างมหาศาลต่อการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ และทำให้ความฝันในการมีบ้านของหลายคนต้องหยุดชะงักลง การแก้ไขปัญหานี้จึงไม่ใช่เพียงเพื่อภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่เป็นการ “สร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ” ให้กับประเทศในระยะยาว

จุดพลังการลงทุน: ดึงดูด FDI ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

หัวใจสำคัญอีกประการหนึ่งในการ “ปฏิรูปเศรษฐกิจไทย” คือการเร่งดึงดูด “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” (FDI) เข้ามาในประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ที่ไทยต้องการยกระดับขีดความสามารถ การเป็นผู้เล่นใน “เศรษฐกิจโลก” ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องมีฐานการผลิตและบริการที่ทันสมัย และมีมูลค่าเพิ่มสูง การพึ่งพาภาคการส่งออกและท่องเที่ยวแบบเดิมๆ แม้ยังคงเป็นเครื่องยนต์หลัก ก็อาจไม่เพียงพอที่จะสร้าง “การเติบโตอย่างก้าวกระโดด” ในยุค 2025 นี้

บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างแรงจูงใจและอำนวยความสะดวก แต่เหนือกว่าตัวเลขคำขอรับส่งเสริมการลงทุน คือ “การลงทุนที่เกิดขึ้นจริง” และ “การถ่ายทอดเทคโนโลยี” ที่เป็นรูปธรรม เราต้องมองหาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ตอบโจทย์ “เศรษฐกิจ BCG” (Bio-Circular-Green Economy) “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน” (Digital Transformation) และ “พลังงานสะอาด” (Clean Energy) ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ของโลก การดึงดูดบริษัทชั้นนำระดับโลกที่เชี่ยวชาญในด้านเหล่านี้ จะช่วยเปลี่ยน “โครงสร้างการผลิต” ของไทย เพิ่มผลิตภาพ และสร้างงานที่มีคุณภาพสูง นอกจากนี้ การมองหา “ตลาดใหม่ๆ” และ “สินค้าใหม่ๆ” สำหรับภาคการส่งออก และการยกระดับ “การท่องเที่ยว” ให้ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มพรีเมียม ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะเติมเต็มให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่ “การสร้างความมั่งคั่ง” และ “การกระจายรายได้” ที่ดีขึ้นทั่วทั้งประเทศ

นโยบายการคลังที่รอบคอบ: ลด ละ เลิกประชานิยมเพื่อความยั่งยืน

ในฐานะผู้สังเกตการณ์ “นโยบายการเงินการคลัง” มาอย่างยาวนาน ผมขอย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องทบทวนแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณ และลดทอนนโยบาย “ประชานิยม” ที่มักเน้นการแจกจ่ายเงินแบบเฉพาะหน้า ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้แก้ปัญหา “เศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง” อย่างยั่งยืน การทำเช่นนี้บ่อยครั้งยังสร้างภาระทางการคลังให้กับประเทศในระยะยาว และไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่แท้จริง

งบประมาณของประเทศมีจำกัด การจัดสรรเงินทุนจึงต้องมุ่งเป้าไปที่ “การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน” ที่จำเป็น การพัฒนา “ทุนมนุษย์” และการสร้าง “ปัจจัยสนับสนุนการแข่งขัน” ให้กับภาคเอกชน มากกว่าการใช้จ่ายที่ “หายไปในพริบตา” เหมือนกับการให้ยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์เพียงชั่วคราวแต่ไม่ได้รักษาโรค การเดินหน้าด้วยนโยบายที่กล้าหาญและไม่ประชานิยม จะเป็นสัญญาณเชิงบวกอย่างยิ่งต่อ “ตลาดทุน” และ “นักลงทุน” ทั้งในและต่างประเทศ เพราะมันสะท้อนถึงความจริงจังในการแก้ปัญหาที่ต้นตอ แทนที่จะพยุงอาการชั่วคราว การมีวินัยทางการคลังจะสร้าง “ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ” ดึงดูด “การลงทุนระยะยาว” และวางรากฐาน “เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง” ได้อย่างแท้จริง การตัดสินใจที่เด็ดขาดในวันนี้จะกำหนดทิศทาง “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ของประเทศไทยในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

ปลุกพลังตลาดหุ้น: กลไกสำคัญขับเคลื่อนความมั่งคั่งและโอกาส

ในฐานะนักบริหารการเงินที่คลุกคลีกับ “ตลาดหุ้น” มานาน ผมขอยืนยันว่า ตลาดหุ้นไม่ควรเป็นเพียงแค่พื้นที่สำหรับนักลงทุนรายใหญ่หรือผู้มีรายได้สูงเท่านั้น แต่เป็น “หัวใจสำคัญของการระดมทุน” ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นกระจกสะท้อน “สุขภาพเศรษฐกิจ” ของประเทศอย่างแท้จริง รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาในปี 2568 และหลังจากนั้น ควรให้ความสำคัญกับ “ตลาดทุน” อย่างจริงจังและมากกว่าที่ผ่านมา เพื่อให้กลไกนี้สามารถทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มศักยภาพ

เมื่อ “ตลาดหุ้น” อยู่ในภาวะ “ขาขึ้น” หรือมีแนวโน้มที่ดี ประชาชนที่ “ลงทุนในหุ้น” จะมีกำไรและมี “กำลังซื้อ” เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อ “การบริโภค” ในระบบเศรษฐกิจ การหมุนเวียนของเงินทุนในลักษณะนี้จะสร้าง “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” ที่ก่อให้เกิดประโยชน์หลายรอบ เป็นการกระตุ้นให้เกิด “การลงทุน” เพิ่มขึ้นในภาคธุรกิจต่างๆ และสร้างงานที่มีคุณภาพ การบริหารจัดการตลาดหุ้นให้โปร่งใส เป็นธรรม และเข้าถึงได้สำหรับคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริม “การออมและการลงทุน” ให้กับคนรุ่นใหม่ จะช่วยให้ตลาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของ “เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและเป็นธรรม” ที่ทุกคนมีส่วนร่วมและได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน การทำให้ “กลไกตลาดหุ้น” ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่การสร้างความมั่งคั่งส่วนบุคคล แต่เป็นการสร้าง “ความมั่งคั่งระดับชาติ” ที่จับต้องได้

เสถียรภาพการเมืองและทีมเศรษฐกิจเอกภาพ: หุ้นส่วนสำคัญของความเชื่อมั่น

นอกเหนือจากนโยบายเศรษฐกิจที่ดีเยี่ยมแล้ว “เสถียรภาพทางการเมือง” ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ “นักลงทุน” ทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจเป็นพิเศษ ในฐานะผู้ที่เฝ้าสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคมานาน ผมขอยืนยันว่า ความไม่แน่นอนหรือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่บ่อยครั้งเกินไป ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ” และทำให้ “นโยบายการลงทุน” ขนาดใหญ่ขาดความต่อเนื่อง

หากประเทศไทยต้องการดึงดูด “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” ในระยะยาว และสร้าง “การเติบโตอย่างยั่งยืน” รัฐบาลจำเป็นต้องมี “เสถียรภาพ” และมี “ทีมเศรษฐกิจ” ที่มีเอกภาพ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การที่กระทรวงเศรษฐกิจต่างๆ ถูกแยกกันบริหารโดยพรรคการเมืองที่แตกต่างกัน อาจก่อให้เกิดความไม่สอดคล้องในการดำเนินนโยบาย ทำให้ภาพรวมของ “กลยุทธ์เศรษฐกิจ” ของชาติขาดพลังและความคมชัด

เราต้องการผู้นำทีมเศรษฐกิจที่สามารถรวบรวมและขับเคลื่อนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้เดินไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างแท้จริง การเมืองที่มั่นคงจะส่งสัญญาณเชิงบวกไปยังตลาดโลก แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยพร้อมสำหรับ “การลงทุนระยะยาว” และมี “ศักยภาพในการแข่งขัน” ที่แท้จริง การบริหารประเทศที่นิ่ง มีการวางแผนที่ต่อเนื่อง และมีการสื่อสารที่ชัดเจน จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้าง “ความไว้วางใจ” จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย และนำพาประเทศไทยให้พ้นจากกรอบการเติบโตเพียง 1-2% ไปสู่ “เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีคุณภาพ” ในอนาคต

อสังหาริมทรัพย์ปี 2568: ฝ่ามรสุมความท้าทาย สู่โอกาสใหม่ในยุคเปลี่ยนผ่าน

ภาค “อสังหาริมทรัพย์” ในปี 2568 ยังคงเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เผชิญกับ “ความท้าทาย” ที่สุดในรอบสองทศวรรษ ซึ่งสอดคล้องกับ “ภาวะเศรษฐกิจไทย” ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ จากข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่า ทั้งอุปทานและอุปสงค์ในตลาดมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัญหารากฐานจาก “หนี้ครัวเรือน” ที่สูงลิ่ว ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “กำลังซื้อ” และ “ความสามารถในการกู้ซื้อบ้าน” ของผู้บริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งการเติบโตของภาคส่วนนี้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะยอดปฏิเสธสินเชื่อที่ยังคงอยู่ในระดับ 50-70% ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างหนัก

ในฐานะนักพัฒนาและผู้สังเกตการณ์ตลาดมานาน ผมเชื่อว่าท่ามกลางความท้าทายนี้ ยังมี “โอกาสการลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ใหม่ๆ เกิดขึ้น การที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้น เช่น การลดค่าโอน-จดจำนอง แม้จะเป็นผลดีในระยะสั้น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เราจำเป็นต้องมีนโยบายที่มุ่งเน้นการลดภาระหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน เพื่อให้ “กำลังซื้อ” กลับมา การส่งเสริม “การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” ที่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของตลาด เช่น ที่อยู่อาศัยราคาเข้าถึงได้ (affordable housing) หรือโครงการที่เน้น “พลังงานสะอาด” และ “เทคโนโลยีสีเขียว” ก็เป็นสิ่งสำคัญ

นอกจากนี้ การมองเห็นโอกาสในกลุ่ม “ตลาดเฉพาะทาง” (niche market) เช่น ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ หรือ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ” (Wellness Real Estate) ที่สอดรับกับเทรนด์ “Wellness Tourism” ของไทย ก็เป็นอีกทิศทางที่น่าสนใจ การปรับตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่การสร้างบ้าน แต่เป็นการ “สร้างคุณค่า” และ “ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่” ด้วย “นวัตกรรม” และ “ความยั่งยืน”

ปฏิรูประบบราชการ: สร้างธรรมาภิบาล ปลดล็อก Ease of Doing Business

ประเด็นสำคัญที่นักธุรกิจไทยและ “นักลงทุนต่างชาติ” ต่างเรียกร้องมาโดยตลอดคือ การปรับปรุงและแก้ไขปัญหา “คอร์รัปชัน” ในระบบราชการ รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ หรือ “Ease of Doing Business” ในฐานะผู้ที่คลุกคลีกับการทำธุรกิจมานาน ผมขอยืนยันว่า ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็น “ต้นทุนแฝง” ที่บั่นทอน “ขีดความสามารถในการแข่งขัน” ของประเทศ แต่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวาง “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” และการเติบโตของ “วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” (SMEs)

รัฐบาลจำเป็นต้องเร่ง “ปฏิรูประบบราชการ” อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม เพื่อให้ขั้นตอนการขอใบอนุญาตและการติดต่อกับหน่วยงานรัฐเป็นไปอย่างโปร่งใส รวดเร็ว และเป็นธรรม การนำ “เทคโนโลยีดิจิทัล” มาใช้ในการทำงานภาครัฐ (e-Government) การจัดตั้ง “ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว” (One Stop Service) ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดขั้นตอน ลดการใช้ดุลยพินิจ และลดโอกาสในการเรียกรับผลประโยชน์ที่มิชอบ สิ่งเหล่านี้จะสร้าง “ความเชื่อมั่น” ให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่ง “โอกาสทางธุรกิจ” ที่เท่าเทียมและปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน

การสร้าง “ธรรมาภิบาล” ในทุกระดับของระบบราชการ ไม่ใช่แค่การปราบปรามการทุจริต แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยึดมั่นในความถูกต้อง ความโปร่งใส และการบริการประชาชนเป็นหลัก ซึ่งจะนำไปสู่ “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ของประเทศในทุกมิติ และเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการก้าวสู่ “เศรษฐกิจยุคใหม่” ที่แข่งขันได้ในระดับโลก

ยกระดับทุนมนุษย์: สร้างทักษะแห่งอนาคต สู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

เพื่อให้ “เศรษฐกิจไทย” สามารถ “เติบโตอย่างก้าวกระโดด” และแข่งขันได้ใน “เศรษฐกิจโลก” ยุค 2025 สิ่งที่ไม่อาจละเลยได้คือการ “ยกระดับศักยภาพของทุนมนุษย์” รัฐบาลและภาคเอกชนต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อ “อัพสกิล” (Upskill) และ “รีสกิล” (Reskill) แรงงานไทยให้มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของ “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม “New S-Curve” ที่เน้น “เทคโนโลยีดิจิทัล” “เทคโนโลยีชีวภาพ” “ปัญญาประดิษฐ์” และ “พลังงานสะอาด” ซึ่งเป็นแกนหลักของ “เศรษฐกิจ BCG”

การลงทุนในการศึกษา การฝึกอบรมวิชาชีพ และการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การพัฒนา “บุคลากรคุณภาพ” ที่มีทักษะด้าน “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์” (STEM) รวมถึงทักษะด้าน “ความคิดสร้างสรรค์” และ “การแก้ไขปัญหา” จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเพิ่ม “ผลิตภาพ” (productivity) ของประเทศ และดึงดูด “การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” ในภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

เมื่อเรามี “แรงงานที่มีคุณภาพ” และ “ทักษะที่ทันสมัย” ประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนผ่านจากฐานการผลิตที่เน้นแรงงานราคาถูกไปสู่ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” และ “มูลค่าเพิ่มสูง” ซึ่งจะนำไปสู่ “การสร้างงานที่มีคุณภาพ” การเพิ่ม “รายได้ประชาชาติต่อหัว” และการลด “ความเหลื่อมล้ำ” ในสังคมอย่างยั่งยืน การเตรียมพร้อม “ทุนมนุษย์” สำหรับ “ยุคดิจิทัล” คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมหาศาลที่สุดสำหรับอนาคตของชาติ

ต่อยอดจุดแข็ง: ท่องเที่ยวระดับโลก, Wellness Hub, และศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค

แม้จะต้องเผชิญกับ “ความท้าทายทางเศรษฐกิจ” แต่ประเทศไทยก็ยังคงมี “จุดแข็ง” ที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาค “การท่องเที่ยว” และ “บริการ” ในฐานะผู้ที่คร่ำหวอดในธุรกิจบริการมานาน ผมเชื่อว่าศักยภาพของไทยในด้าน “Wellness Tourism” และการบริการระดับพรีเมียมนั้นไร้ขีดจำกัด ด้วยวัฒนธรรมการบริการที่โดดเด่น (Service Mind) และความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นเป็น “Wellness Hub” ชั้นนำของโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้สูงวัยที่มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลกให้เข้ามาพำนักและใช้ชีวิตในระยะยาว

การลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล” และ “โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่” อาทิ ระบบคมนาคมขนส่งที่ทันสมัย ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ จะช่วยเสริมศักยภาพของประเทศไทยในฐานะ “ศูนย์กลางโลจิสติกส์” (Regional Logistic Location) ในภูมิภาคอาเซียน ด้วยที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่อยู่ใจกลางภูมิภาค เรามีความได้เปรียบในการเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลด “ต้นทุนการขนส่ง” เพิ่ม “ขีดความสามารถในการแข่งขัน” ของผู้ประกอบการไทย และดึงดูด “การลงทุนต่างประเทศ” ที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเชน

การต่อยอดจุดแข็งเหล่านี้ ไม่ใช่แค่การรอให้นักท่องเที่ยวเข้ามา แต่เป็นการ “สร้างแม่เหล็ก” ที่ทรงพลัง เพื่อดึงดูดผู้คนที่มีคุณภาพและ “การลงทุนระยะยาว” เข้ามาในประเทศ การพัฒนาอย่างบูรณาการระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเน้นที่ “นวัตกรรม” “ความยั่งยืน” และ “การสร้างมูลค่าเพิ่ม” จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพอันมหาศาลของ “เศรษฐกิจไทย” ในภาคบริการและโลจิสติกส์ให้เต็มที่ในยุค 2025 นี้

ภูเก็ตโมเดล: ยกระดับเมืองท่องเที่ยวระดับโลกด้วยเมกะโปรเจกต์และ One Stop Service

กรณีศึกษาของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็น “เมืองท่องเที่ยวระดับโลก” และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหา “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับ “การเติบโตทางเศรษฐกิจ” และจำนวน “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของภูเก็ตมาโดยตลอด ผมมองว่าปัญหาความแออัดของการจราจร ขยะล้นเมือง และการขาดแคลนน้ำประปา เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งที่เกิดจากการขาด “การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์” และ “การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่” ที่เหมาะสม

สิ่งที่ภูเก็ตและเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ทั่วประเทศต้องการอย่างเร่งด่วนคือ “เมกะโปรเจกต์” ด้านคมนาคม เช่น ถนน ทางด่วน หรือ “รถไฟฟ้า” ที่จะช่วยจัดระเบียบและเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทาง ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้ง “การท่องเที่ยว” และคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่น การพัฒนา “สมาร์ทซิตี้” (Smart City) ด้วยการนำ “เทคโนโลยีดิจิทัล” มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการเมือง จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

นอกจากนี้ ปัญหาเรื่อง “ระบบราชการ” ที่ล่าช้าและซับซ้อนในการติดต่อขออนุญาตต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่ง “อุปสรรคการลงทุน” ที่สำคัญ เสียงเรียกร้องให้จัดตั้ง “ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว” (One Stop Service) ที่แท้จริง ซึ่งช่วยให้นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถติดต่อและดำเนินการเรื่องต่างๆ กับภาครัฐได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ถือเป็น “ก้าวสำคัญ” ในการปรับปรุง “Ease of Doing Business” และสร้าง “ความเชื่อมั่น” ให้กับผู้ที่ต้องการเข้ามาลงทุนและพำนักในระยะยาวในพื้นที่เหล่านี้ การเรียนรู้จากบทเรียนของภูเก็ต สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการพัฒนา “ภูมิภาคเศรษฐกิจ” อื่นๆ ของไทย เพื่อสร้าง “การเติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืน”

สู่ทศวรรษใหม่แห่งความรุ่งเรือง: รวมพลังพลิกโฉมประเทศไทย

จากบทวิเคราะห์ที่ได้นำเสนอไปข้างต้น คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า “เศรษฐกิจไทย” ในปี 2568 กำลังเผชิญกับ “ความท้าทายเชิงโครงสร้าง” ที่ซับซ้อนและเร่งด่วน การที่เราจะหลุดพ้นจาก “กับดักการเติบโตต่ำ” และก้าวเข้าสู่ “ยุคทองแห่งความมั่งคั่ง” ที่ยั่งยืนได้นั้น จำเป็นต้องอาศัย “วิสัยทัศน์ที่กล้าหาญ” “แผนงานที่ชัดเจน” และ “การทำงานร่วมกัน” อย่างจริงจังของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน

ในฐานะผู้ที่คลุกคลีในวงการนี้มานานกว่าทศวรรษ ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีศักยภาพและทรัพยากรที่เพียงพอที่จะก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ได้ หากเรากล้าที่จะ “ปฏิรูปโครงสร้าง” อย่างจริงจัง ทั้งในด้าน “นโยบายการคลัง” ที่มีวินัย “การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต “การยกระดับคุณภาพทุนมนุษย์” “การปลดล็อกศักยภาพตลาดทุน” และ “การสร้างธรรมาภิบาล” ในระบบราชการ

นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่พวกเราทุกคนต้องหันหน้าเข้าหากัน ร่วมคิด ร่วมสร้าง และร่วมผลักดันให้เกิด “การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง” เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของลูกหลานเรา อย่ารอให้ปัญหาเหล่านี้เรื้อรังไปมากกว่านี้ เพราะทุกวินาทีที่เราล่าช้า นั่นหมายถึง “โอกาสทางเศรษฐกิจ” ที่เราสูญเสียไป

ถึงเวลาแล้วที่เราจะร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศไทย เพื่อให้ปี 2568 เป็นจุดเริ่มต้นของการพลิกฟื้นสู่ “เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เป็นธรรม และยั่งยืน” อย่างแท้จริง! มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนี้ไปพร้อมกัน!

Previous Post

D0512081 แม ใจย กษ งล กไปย งจะมาขอเง น(ละครส น) หน งส นด BSC part2

Next Post

D0512083 มรดกมรณะ(ละครส น) หน งส นด BSC part2

Next Post
D0512083 มรดกมรณะ(ละครส น) หน งส นด BSC part2

D0512083 มรดกมรณะ(ละครส น) หน งส นด BSC part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D0512083 มรดกมรณะ(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512082 เธอถ กบ งค บให แต งงานก บเจ าชายน ทรา(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512081 แม ใจย กษ งล กไปย งจะมาขอเง น(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512080 าดาเจอทายาทต วจร งท หายไป(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512079 เอาต งฝากก บคนพ การ(ละครส น) หน งส นด BSC part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.