• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D0512086 สาม เช อคนในบ านมากกว าเม ย(ละครส น) หน งส นด BSC part2

admin79 by admin79
December 8, 2025
in Uncategorized
0
D0512086 สาม เช อคนในบ านมากกว าเม ย(ละครส น) หน งส นด BSC part2

เศรษฐกิจไทย 2568: ยุทธศาสตร์พลิกวิกฤตสู่การเติบโตยั่งยืนในยุคใหม่

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมมองว่าปี 2568 คือห้วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยยืนอยู่บนทางแยก เราไม่สามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป หากยังคงยึดติดกับโมเดลการเติบโตที่เชื่องช้า อัตราการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่วนเวียนอยู่แค่ 1-2% จะไม่เพียงพอต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร และจะยิ่งฉุดรั้งให้ไทยถอยห่างจากประเทศคู่แข่งที่กำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มกำลังในเวทีโลกยุคใหม่ วันนี้ถึงเวลาที่เราต้องรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ วางรากฐานเพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนอย่างแท้จริง

จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับทั้งภาคการเงิน การลงทุน และภาคอสังหาริมทรัพย์ ผมเห็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่ว การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ยังไม่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง หรือแม้แต่ตลาดทุนที่ยังไม่ถูกใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ ความท้าทายเหล่านี้ไม่ใช่แค่ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็น “กับดัก” ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและเป็นระบบ ผมขอเสนอแนวทางที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ 6 เสาหลัก เพื่อนำพาประเทศไทยให้ก้าวข้ามผ่านวิกฤต และทะยานสู่การเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกอีกครั้งในทศวรรษหน้า

เสาหลักที่ 1: ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจด้วยการดึงดูด FDI คุณภาพสูงและขับเคลื่อน New S-Curve

หัวใจสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้หลุดพ้นจากหล่ม GDP ต่ำ คือการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตและการส่งออกอย่างจริงจัง การพึ่งพิงอุตสาหกรรมเดิมๆ และตลาดส่งออกแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไปในยุคที่ห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วในปี 2568 เราต้องโฟกัสไปที่การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เป็นยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ที่ประเทศไทยมีศักยภาพและสอดรับกับเมกะเทรนด์โลก

ผมมองว่ารัฐบาลต้องกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนในกลุ่มอุตสาหกรรม New S-Curve ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูง ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy), เทคโนโลยีชีวภาพ (Bio-Tech), ปัญญาประดิษฐ์ (AI), หุ่นยนต์ (Robotics), อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ครบวงจร, และพลังงานสะอาด (Clean Energy) ซึ่งรวมถึงพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เราต้องมีแพ็กเกจส่งเสริมการลงทุน (Investment Promotion) ที่แข่งขันได้ในระดับภูมิภาค และที่สำคัญคือต้องมีการอำนวยความสะดวกในการลงทุนที่ไร้รอยต่อ ตั้งแต่การขออนุญาตจนถึงการดำเนินธุรกิจจริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขคำขอสิทธิ์ที่สวยงามบนกระดาษ

นอกจากนี้ การเชื่อมโยง FDI เข้ากับการพัฒนาผู้ประกอบการไทย SMEs ให้สามารถเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ นำไปสู่การสร้างนวัตกรรม (Innovation) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ทันสมัย และการเร่งสร้าง Eco-system ที่เอื้อต่อการวิจัยและพัฒนา จะเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตและศูนย์ R&D ในประเทศไทย

เสาหลักที่ 2: วินัยทางการคลังและการเสริมสร้างตลาดทุนไทยให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจ

แนวคิด “นโยบายประชานิยม” ที่มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่คำนึงถึงภาระงบประมาณระยะยาว ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างได้อย่างยั่งยืน ในปี 2568 และปีต่อๆ ไป เราต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่การบริหารจัดการทางการคลังที่มีวินัยอย่างเคร่งครัด รัฐบาลใหม่ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่าย ลดการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น และใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส เพื่อเป้าหมายระยะยาว ไม่ใช่เพียงเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองชั่วคราว การมีนโยบายการคลังที่ชัดเจนและยั่งยืนจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ตลาดทุนไทย (Thai Capital Market) ควรถูกยกให้เป็นหัวใจสำคัญและเครื่องยนต์หลักในการระดมทุนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มันคือแหล่งเงินทุนที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับการลงทุนภาคเอกชน แต่ที่ผ่านมา บทบาทของตลาดทุนยังไม่ถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ ผมอยากเห็นรัฐบาลส่งเสริมให้กลไกตลาดทุนทำงานได้อย่างเต็มที่มากขึ้น เพื่อให้เป็นช่องทางในการระดมทุนสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ๆ การขยายธุรกิจของ SMEs และ Startup รวมถึงการสนับสนุนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ

การพัฒนาตลาดทุนให้มีความน่าสนใจและเข้าถึงได้สำหรับนักลงทุนทุกระดับ จะช่วยเพิ่มการบริโภคในระบบเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน เมื่อตลาดหุ้นขาขึ้น ผู้คนที่มีกำไรจากการลงทุนมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงินมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนี้ การส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน หรือ ESG investing ก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญที่ตลาดทุนไทยควรให้ความสำคัญ เพื่อดึงดูดนักลงทุนสถาบันระดับโลกที่มีนโยบายการลงทุนที่คำนึงถึงมิติสังคมและสิ่งแวดล้อม

เสาหลักที่ 3: แก้ไขหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบและฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์

ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่สูงแตะเพดานจนกลายเป็น “กับดัก” ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเด็ดขาดในปี 2568 หากเราไม่สามารถลดระดับหนี้ครัวเรือนลงมาสู่เป้าหมายที่ยั่งยืน (เช่น 80% ของ GDP) ได้อย่างแท้จริง กำลังซื้อของผู้บริโภคจะยังคงถูกจำกัด และจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย (Thai Real Estate) ซึ่งเผชิญความท้าทายสูงสุดในรอบสองทศวรรษ จากยอดปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงถึง 50-70%

การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยกลไกที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเพียงชั่วคราว รัฐบาลควรพิจารณามาตรการที่ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว สนับสนุนการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน และส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ รวมถึงการใช้บทบาทของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ในการซื้อหนี้เสีย (NPA) จากสถาบันการเงินเพื่อลดภาระ การแก้หนี้ครัวเรือนจะไม่ได้ช่วยแค่ภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้กับครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลดีต่อทุกธุรกิจในระบบเศรษฐกิจ

สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์เอง การผลักดันโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการจริงในแต่ละเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะกลุ่มราคาที่เข้าถึงได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Building) พร้อมกับการวางแผนผังเมือง (Urban Planning) ที่ดี เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (Smart Infrastructure) ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อและนักลงทุน

เสาหลักที่ 4: พัฒนาทุนมนุษย์ให้พร้อมรับโลกอนาคต

เศรษฐกิจไทยจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องมี “คน” ที่มีคุณภาพและทักษะที่พร้อมสำหรับโลกยุคใหม่ ในปี 2568 ที่เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การพัฒนาบุคลากรดิจิทัล (Digital Workforce Development) ผ่านโครงการ Upskill และ Reskill ครั้งใหญ่จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน รัฐบาลต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความต้องการทักษะในตลาดแรงงานอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ และลงทุนในการศึกษาที่เน้นทักษะ STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) และ Digital Literacy

การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่เข้าถึงได้ และการสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาปรับหลักสูตรให้ทันสมัยและตอบโจทย์ภาคธุรกิจ จะช่วยสร้างแรงงานที่มีคุณภาพ สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ และมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว การลงทุนในทุนมนุษย์ (Human Capital Development) คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด และจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำ (Reducing Inequality) ทางเศรษฐกิจในท้ายที่สุด

เสาหลักที่ 5: ยกระดับ Ease of Doing Business และขจัดปัญหาคอร์รัปชัน

ปัญหาเชิงโครงสร้างอีกประการที่ฉุดรั้งการเติบโตและบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนมาโดยตลอด คือความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในระบบราชการ ในฐานะนักธุรกิจ ผมสัมผัสได้ถึง “ต้นทุนแฝง” ที่เกิดจากขั้นตอนที่ยุ่งยาก ล่าช้า และความไม่โปร่งใสในการติดต่อขอใบอนุญาตต่างๆ ในปี 2568 รัฐบาลใหม่ต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับ Ease of Doing Business Thailand อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม

ผมเสนอให้มีการปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory Improvement) ที่ล้าสมัย ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกระบวนการภาครัฐ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและรวดเร็ว การจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่บนกระดาษ แต่สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจรและรวดเร็ว จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทั้งผู้ประกอบการไทยและนักลงทุนต่างชาติได้อย่างมหาศาล

ที่สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจังและเด็ดขาด การสร้างระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Governance) และการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุนระยะยาว (Long-term Investment) ที่มีคุณภาพ การพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีธรรมาภิบาลที่ดี ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่ยังยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานานาชาติ

เสาหลักที่ 6: การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก

ภาคการท่องเที่ยวและการบริการยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย แต่ในปี 2568 และในอนาคต เราต้องปรับเปลี่ยนไปสู่ “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” (Quality Tourism) ที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ไม่ใช่แค่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามา เรามีศักยภาพที่โดดเด่นในด้าน Wellness และ Medical Tourism ด้วยบริการที่เป็นเลิศและบุคลากรที่มี Service Mind ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Mega Projects) โดยเฉพาะระบบคมนาคมขนส่งที่ทันสมัย ทั้งทางถนน ทางราง และทางอากาศ รวมถึงโครงข่ายดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งสำคัญในการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ตัวอย่างเช่น ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก กำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ เช่น การจราจรติดขัด ปัญหาขยะ หรือน้ำประปา การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์อย่างรถไฟฟ้า หรือทางด่วน จะช่วยจัดระเบียบเมืองและยกระดับให้ภูเก็ตเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างแท้จริง (Regional Logistic Location)

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Sustainable Tourism) จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเป็น “Destination” ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอยากกลับมาเยือน และยังดึงดูดกลุ่มชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อสูงให้เข้ามาพำนักระยะยาวได้อีกด้วย

เสถียรภาพทางการเมืองและทีมเศรษฐกิจที่มีเอกภาพคือกุญแจสู่ความสำเร็จ

ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงหากปราศจาก “เสถียรภาพทางการเมือง” และ “ทีมเศรษฐกิจที่มีเอกภาพ” ผมเชื่อว่าการมีรัฐบาลที่มั่นคง มีนโยบายที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาลแล้วเปลี่ยนนโยบายทันที จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติได้อย่างมหาศาล การมีพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่สามารถดูแลกระทรวงเศรษฐกิจหลักได้อย่างเป็นเอกภาพ และมีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่สามารถคุมทิศทางได้อย่างเบ็ดเสร็จ จะทำให้การดำเนินนโยบายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลจริง ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ถึงเวลาพลิกโฉมประเทศไทย

ปี 2568 เป็นปีที่เราต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะเดินหน้าประเทศไทยไปในทิศทางใด เราจะยังคงจมปลักอยู่กับการเติบโตที่เชื่องช้า และเผชิญกับความท้าทายเดิมๆ หรือเราจะกล้าที่จะรื้อ ปรับ และสร้างใหม่ เพื่อวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างยั่งยืน ผมเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยและทรัพยากรที่เรามี หากเรามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน มีผู้นำที่กล้าหาญ และมีการทำงานร่วมกันอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เราจะสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง และนำพาประเทศไทยให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้อย่างแน่นอน

ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันผลักดันและสร้างอนาคตเศรษฐกิจไทยที่สดใสและยั่งยืนไปพร้อมกัน มาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ให้ประเทศไทยกันเถอะครับ!

Previous Post

D0512077 ภาพบ ษรถสองแถว(ละครส น) หน งส นด BSC part2

Next Post

D0512087 องลมอมกะต งค (ละครส น) หน งส นด BSC part2

Next Post
D0512087 องลมอมกะต งค (ละครส น) หน งส นด BSC part2

D0512087 องลมอมกะต งค (ละครส น) หน งส นด BSC part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D0512083 มรดกมรณะ(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512082 เธอถ กบ งค บให แต งงานก บเจ าชายน ทรา(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512081 แม ใจย กษ งล กไปย งจะมาขอเง น(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512080 าดาเจอทายาทต วจร งท หายไป(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512079 เอาต งฝากก บคนพ การ(ละครส น) หน งส นด BSC part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.