พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย 2568: หลุดพ้นกับดัก GDP ต่ำ สู่ยุคทองแห่งการลงทุนและความยั่งยืน
บทนำ: ภูมิทัศน์ใหม่ เศรษฐกิจไทย 2568 และความท้าทายเชิงโครงสร้าง
ปี 2568 กำลังทอดยาวอยู่เบื้องหน้า พร้อมกับภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรากำลังเผชิญหน้ากับยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวกระโดด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่บีบคั้น และพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยก็ยังคงแบกรับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานาน ไม่ว่าจะเป็นอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่น่าผิดหวังในระดับ 1-2% มาอย่างต่อเนื่อง หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงจนน่าตกใจ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ถูกท้าทายจากเพื่อนบ้านที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการเงินและการลงทุนมากว่าทศวรรษ ผมมองเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยจะต้องทำการ “ปฏิรูปเศรษฐกิจ” อย่างจริงจังและรอบด้าน การแก้ปัญหาแบบชั่วครั้งชั่วคราว หรือนโยบายที่ขาดวิสัยทัศน์ระยะยาว จะไม่เพียงพออีกต่อไป นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่เราจะต้องร่วมกันสร้างโอกาสใหม่ ปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนเร้น และวางรากฐานอันแข็งแกร่งเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือหนทางเดียวที่เราจะก้าวผ่านกับดักการเติบโตต่ำ และเข้าสู่ยุคทองแห่งการลงทุนและความมั่งคั่งที่แท้จริง
สลัดกับดักการเติบโตต่ำ: สร้างฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
การที่เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตรา 1-2% ต่อปีนั้น แทบจะไม่ต่างจากการที่เรากำลังวิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่โลกทั้งใบกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้า การเติบโตในระดับนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ต่อหัวของประชากร ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 7,000 เหรียญสหรัฐฯ ถือว่ายังต่ำกว่าศักยภาพที่เรามี และหากเรายังคงอยู่ในวงจรนี้ ช่องว่างระหว่างเรากับประเทศที่พัฒนาแล้วก็จะยิ่งถ่างออกไปเรื่อยๆ มิหนำซ้ำ ประเทศที่เคยตามหลังเราบางประเทศก็กำลังจะแซงหน้าไปแล้ว นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางสถิติ แต่คือคุณภาพชีวิต โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร และขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกที่กำลังถูกบั่นทอนลงอย่างช้าๆ
ดังนั้น เป้าหมายเร่งด่วนที่เราต้องตั้งไว้คือการยกระดับอัตราการเติบโตของ GDP ให้กลับไปอยู่ที่ระดับ 3-4% อย่างยั่งยืน การจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องทบทวนโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบอย่างกล้าหาญ และมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัย ระบบนิเวศการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่เข้มแข็ง รวมถึงการส่งเสริมการบริหารความมั่งคั่งของประเทศในภาพรวม เพื่อให้ทรัพยากรถูกจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด การสร้างฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งต้องเริ่มต้นจากการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และความมุ่งมั่นที่จะลงมือทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การมองหาทางลัดหรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
จุดประกายการลงทุน: ดึงดูดทุนคุณภาพ ขับเคลื่อนตลาดทุน
การลงทุนคือหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสำหรับประเทศไทย การดึงดูด “ทุนคุณภาพ” เข้ามาในประเทศคือหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด
2.1 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): แม่เหล็กดึงดูดเทคโนโลยีและนวัตกรรม
เราต้องก้าวข้ามจากเพียงแค่การเป็นฐานการผลิตสินค้าขั้นพื้นฐาน ไปสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การดึงดูด FDI ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ชีวภาพ-การแพทย์ เทคโนโลยี AI และโลจิสติกส์อัจฉริยะ จะนำมาซึ่งการถ่ายทอดเทคโนโลยี การสร้างงานที่มีมูลค่าสูง และการยกระดับห่วงโซ่อุปทานของประเทศ บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะต้องเปลี่ยนแปลงจากการมุ่งเน้นเพียงแค่ยอดขอสิทธิ์ ไปสู่การเป็น “ผู้ขับเคลื่อน” ให้การลงทุนเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง รัฐบาลควรมีกลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้นในการนำเสนอแพ็กเกจจูงใจที่น่าสนใจ ลดขั้นตอนและกฎระเบียบที่ซับซ้อน สร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) ให้เป็นแม่เหล็กที่แท้จริง และที่สำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายที่ต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติกล้าตัดสินใจเข้ามาลงทุนระยะยาวในประเทศไทย
2.2 ตลาดทุนไทย: หัวใจของการระดมทุนและการเติบโต
ตลาดหุ้นและตลาดทุนโดยรวมคือแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ที่ผ่านมา บทบาทของตลาดทุนไทยยังไม่ถูกใช้งานอย่างเต็มศักยภาพ เราจำเป็นต้องยกระดับตลาดหลักทรัพย์ให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นแหล่งระดมทุนที่เข้าถึงได้สำหรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ รวมถึงส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน (ESG Investment) เพื่อดึงดูดเงินทุนระยะยาวจากทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล นอกจากนี้ การนำนวัตกรรมทางการเงินสมัยใหม่ เช่น สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) และ Tokenization เข้ามาใช้ในตลาดทุนอย่างเหมาะสม จะช่วยเพิ่มทางเลือกและสภาพคล่องในการระดมทุนและลงทุน ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการกระตุ้นและให้ความรู้แก่ผู้ลงทุนรายย่อย สร้างความเข้าใจในเครื่องมือทางการเงินต่างๆ พร้อมกับกลไกคุ้มครองผู้ลงทุนที่เข้มแข็ง เพื่อให้ตลาดทุนเป็นของทุกคน ไม่ใช่แค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และสามารถเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการบริโภคและการหมุนเวียนของเศรษฐกิจได้จริง เมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ความรู้สึกมั่งคั่งจะกระตุ้นการใช้จ่าย และสร้างวงจรบวกให้กับเศรษฐกิจโดยรวม
นโยบายการคลังและการจัดการหนี้: ก้าวพ้นประชานิยม สู่ความมั่นคง
ความยั่งยืนทางการคลังและการจัดการหนี้สินคือเสาหลักของเศรษฐกิจที่มั่นคง การก้าวพ้นจากกับดักนี้ จำเป็นต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญและไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันทางการเมือง
3.1 ยุติ “ประชานิยม” ชั่วคราว: มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว
นโยบายประชานิยมที่เน้นการแจกจ่ายเงินหรือให้สิทธิประโยชน์ระยะสั้น มักจะสร้างภาระงบประมาณและวินัยทางการคลังในระยะยาว โดยที่ผลกระทบเชิงบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมักจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับการจัดสรรงบประมาณที่ตรงจุด โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมุ่งเน้นการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนระยะยาว เช่น การลงทุนในการศึกษา การวิจัยและพัฒนา (R&D) และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น สิ่งเหล่านี้คือรากฐานที่จะยกระดับศักยภาพของประเทศอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นการใช้ยาแก้ปวดที่บรรเทาอาการได้เพียงชั่วคราว การวางแผนภาษีและการคลังสาธารณะต้องถูกพิจารณาใหม่ เพื่อสร้างความยืดหยุ่นทางการคลัง และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต
3.2 ปฏิบัติการแก้ “หนี้ครัวเรือน”: ปลดล็อกกำลังซื้อของประเทศ
หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเกิน 90% ของ GDP ในปี 2568 ถือเป็นระเบิดเวลาที่คุกคามเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวม เมื่อประชาชนส่วนใหญ่มีภาระหนี้สินล้นพ้นตัว กำลังซื้อก็จะหดหาย การบริโภคชะลอตัว และความสามารถในการกู้ยืมเพื่อการลงทุนหรือซื้อสินทรัพย์สำคัญ เช่น ที่อยู่อาศัย ก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เราจำเป็นต้องมีแนวทางแก้ไขเชิงรุกและครบวงจร ตั้งแต่การปรับโครงสร้างหนี้อย่างจริงจัง การให้ความรู้ทางการเงินที่เข้าถึงได้ทุกกลุ่มประชากร การส่งเสริมการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ รวมถึงการใช้มาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการก่อหนี้เกินตัว การจัดการหนี้ครัวเรือนไม่ใช่แค่ช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นการปลดล็อกกำลังซื้อของประชาชน ทำให้พวกเขามีอิสระทางการเงินมากขึ้น และเป็นรากฐานสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
ปฏิรูประบบราชการและภาคอสังหาริมทรัพย์: ปลดแอกศักยภาพ
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจและการใช้ชีวิต คือกุญแจสำคัญในการดึงดูดทั้งนักลงทุนและผู้คนที่มีคุณภาพเข้ามาในประเทศ
4.1 “Ease of Doing Business”: ลดอุปสรรค เพิ่มความโปร่งใส
ความล่าช้า ซับซ้อน และการคอร์รัปชันในระบบราชการ เป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการขอใบอนุญาต การอนุมัติโครงการ หรือการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานรัฐ สิ่งเหล่านี้ล้วนเพิ่มต้นทุนแฝงและลดความน่าสนใจในการลงทุน เราต้องเร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบให้ทันสมัย ลดความซ้ำซ้อน และเปลี่ยนผ่านสู่ “รัฐบาลดิจิทัล” อย่างเต็มรูปแบบ การมีศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ซึ่งอนุญาตให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างชาติสามารถติดต่อขอรับบริการภาครัฐทุกด้านได้ที่จุดเดียว และสามารถยื่นเอกสารติดต่อได้กับทุกหน่วยงานรัฐ จะช่วยลดความยุ่งยากและสร้างความสะดวกอย่างมหาศาล ที่สำคัญที่สุดคือการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาดและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในระบบ
4.2 พลิกฟื้นภาคอสังหาริมทรัพย์: ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง
ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ยังคงเผชิญความท้าทายอย่างมาก ทั้งจากยอดปฏิเสธสินเชื่อที่สูงถึง 50-70% เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการพิจารณา และปัญหาอุปทานส่วนเกินในบางพื้นที่ การฟื้นตัวของภาคนี้จะต้องเดินหน้าไปพร้อมกับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนในระยะยาว นอกจากนี้ รัฐบาลควรพิจารณามาตรการกระตุ้นที่ตรงจุดและยั่งยืน เช่น การส่งเสริมที่อยู่อาศัยที่เข้าถึงได้สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง การพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์สังคมสูงวัย (Aging Society) และการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติ เพื่อดึงดูดผู้มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลก นอกจากนี้ การใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) ของสถาบันการเงิน โดยการแปลงเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนหรือพัฒนาต่อยอด ก็จะเป็นการเพิ่มมูลค่าและลดภาระในระบบได้อีกทางหนึ่ง การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ควรสอดคล้องกับการวางแผนผังเมืองและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างเมืองที่น่าอยู่และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตอบโจทย์ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงโอกาสสำหรับอสังหาริมทรัพย์หรูในพื้นที่ศักยภาพสูงที่ยังคงมีดีมานด์
พัฒนาทรัพยากรมนุษย์และภาคบริการ: สร้างมูลค่าเพิ่ม
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “ทรัพยากรมนุษย์” คือขุมทรัพย์ที่มีค่าที่สุด และภาคบริการคือจุดแข็งที่ประเทศไทยมีมาโดยตลอด
5.1 Upskill-Reskill: พลังขับเคลื่อนแห่งอนาคต
การลงทุนในการศึกษาตลอดชีวิตและการพัฒนาทักษะ (Upskill-Reskill) ของคนไทยคือสิ่งที่ไม่สามารถรอได้อีกต่อไป เราต้องเร่งสร้างคนที่มีทักษะแห่งอนาคต เช่น ทักษะด้านการเขียนโค้ด (Coding) วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) ความรู้ด้าน AI (AI Literacy) และที่สำคัญคือทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในการออกแบบหลักสูตรและการฝึกอบรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับผลิตภาพแรงงานไทย และเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในเวทีโลกยุคใหม่
5.2 การท่องเที่ยวและ Wellness: ขุมทรัพย์ที่ต้องเจียระไน
ประเทศไทยได้รับการยอมรับในฐานะ “เดสติเนชัน” ระดับโลกด้านการท่องเที่ยว แต่เราต้องก้าวข้ามจากการท่องเที่ยวเชิงปริมาณ ไปสู่ “High-Value Tourism” ที่เน้นคุณภาพและมูลค่าเพิ่ม การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) การแพทย์ครบวงจร การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Eco-Tourism) และการท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจ (MICE) จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงและส่งเสริมการพักอาศัยระยะยาวของชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีความมั่งคั่ง นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น สนามบิน ระบบขนส่งมวลชน และสาธารณูปโภคที่ทันสมัย จะเป็นแรงดึงดูดที่สำคัญ และช่วยให้ไทยคงสถานะ Regional Logistic Location ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการพัฒนาบริการที่เป็นเลิศ คือสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญสูงสุด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจและยั่งยืนสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก
เสถียรภาพทางการเมืองและผู้นำที่เข้มแข็ง: หัวใจของความก้าวหน้า
ท้ายที่สุดแล้ว ทุกนโยบายและแผนงานที่กล่าวมาจะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ หากปราศจาก “เสถียรภาพทางการเมือง” และ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่เข้มแข็งและมีเอกภาพ การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลและการเปลี่ยนแปลงนโยบายบ่อยครั้ง สร้างความไม่แน่นอนและบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
เราจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีความมั่นคง มีพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญที่สุดคือต้องมี “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ที่มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ และสามารถกำกับดูแลกระทรวงเศรษฐกิจต่างๆ ให้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ มีทิศทางเดียวกัน และสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทีมเศรษฐกิจ จะช่วยให้การดำเนินนโยบายมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ การยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลและหลักนิติธรรม จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความโปร่งใส ความยุติธรรม และความเชื่อมั่นให้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นประชาชน นักลงทุน หรือภาคธุรกิจ เสถียรภาพเหล่านี้คือปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งในการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแท้จริง
บทสรุปและคำเชิญชวน: ร่วมสร้างอนาคตไทยที่ยั่งยืน
ปี 2568 และปีต่อๆ ไป คือช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศไทย เรามีโอกาสที่จะก้าวพ้นจากกับดักการเติบโตต่ำ และสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และเป็นธรรม การเปลี่ยนแปลงที่ผมได้นำเสนอไปนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากเรามีความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และความกล้าหาญที่จะลงมือปฏิรูปอย่างจริงจัง
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ยุคใหม่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน นักลงทุน ผู้ประกอบการ ไปจนถึงประชาชนทุกคน ทุกคนคือฟันเฟืองสำคัญในการสร้างอนาคตที่เราปรารถนา ผมขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ มาร่วมกันคิด ร่วมกันสร้างสรรค์ และร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาค พร้อมรับมือกับทุกความท้าทาย และคว้าโอกาสที่กำลังจะเข้ามา หากท่านมีความสนใจที่จะเจาะลึกในประเด็นใด หรือต้องการหารือถึงกลยุทธ์การลงทุนและโซลูชันทางการเงินที่เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจปี 2568 ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมที่จะให้คำปรึกษาและร่วมเป็นพันธมิตรในการสร้างความมั่งคั่งและความยั่งยืนให้กับท่านและประเทศชาติ.

