ปฏิวัติเศรษฐกิจไทย 2568: ถอดรหัสสูตรสำเร็จ ดึงลงทุน ขับเคลื่อน GDP สู่ยุคใหม่ โดยผู้เชี่ยวชาญ 10 ปี
ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศไทย ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงเศรษฐกิจ การเงิน และอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมมองเห็นทั้งความท้าทายเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึก และโอกาสทองในการพลิกฟื้นประเทศ หากเรากล้าที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน การแข่งขันที่เข้มข้น และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว กำลังบีบให้ไทยต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ติดหล่มอยู่ในระดับ 1-2% มาอย่างยาวนาน ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขสถิติ แต่สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่คุกคามอนาคตและความเป็นอยู่ของคนไทย หากไม่มีการปฏิรูปครั้งใหญ่ ประเทศไทยเสี่ยงที่จะถอยห่างจากประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังพุ่งทะยานและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกอย่างถาวร
บทความนี้จะเจาะลึกถึงปัญหาหลักที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ พร้อมนำเสนอพิมพ์เขียวสำหรับการปฏิรูปเชิงรุก เพื่อยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุนคุณภาพสูง และสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนให้แก่ทุกคนในประเทศ โดยมุ่งเน้นที่แนวทางการทำงานที่ชัดเจนและเป็นไปได้จริงในบริบทของปี 2568 โดยจะครอบคลุมตั้งแต่การแก้ปัญหารากฐานอย่างหนี้ครัวเรือนและประสิทธิภาพของภาครัฐ ไปจนถึงการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การพลิกฟื้นตลาดทุน และการยกระดับจุดแข็งทางการท่องเที่ยวและ Wellness ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย
ส่วนที่ 1: วิกฤตโครงสร้างและโอกาสในการพลิกฟื้น
ถอดรหัส GDP ไทย: ทำไม 1-2% ไม่เพียงพอสำหรับอนาคต 2568?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตัวเลข GDP ของประเทศไทยวนเวียนอยู่กับอัตราการเติบโตที่น่าเป็นห่วง คือราว 1-2% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำเกินไปสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูง ลองพิจารณาดูว่า รายได้ต่อหัวของคนไทยยังคงอยู่ที่ประมาณ 7,000 เหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งกำลังไล่ตามและบางส่วนแซงหน้าเราไปแล้ว การเติบโตในระดับนี้บ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่ขาดพลวัต ขาดการสร้างงานที่มีคุณภาพ และขาดโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้าง หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ต่อไป ช่องว่างระหว่างไทยกับประเทศอื่น ๆ จะยิ่งถ่างออกไปเรื่อย ๆ เราต้องยอมรับว่าโมเดลการเติบโตแบบเดิม ๆ ที่พึ่งพาการส่งออกราคาถูกและแรงงานไร้ฝีมือไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไปในโลกยุค 2568 ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน
คำว่า “ปฏิรูปโครงสร้าง” อาจฟังดูยิ่งใหญ่และซับซ้อน แต่แก่นแท้คือการแก้ปัญหาที่ต้นตอ แทนที่จะใช้มาตรการกระตุ้นชั่วคราวที่เป็นเพียงยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์เพียงไม่กี่ชั่วโมง การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างหมายถึงการปรับเปลี่ยนรากฐานทางเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้นในระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ความกล้าหาญทางการเมือง และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม เป้าหมายของเราในปี 2568 ไม่ใช่แค่การประคองตัว แต่คือการสร้างเส้นทางสู่การเติบโต 3-4% ที่มั่นคงและมีคุณภาพ
แกะรอยหนี้ครัวเรือน: ระเบิดเวลาที่ฉุดรั้งกำลังซื้อ
หนี้ครัวเรือนของไทยยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่กัดกินเศรษฐกิจและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวที่ยั่งยืน สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่สูงกว่า 90% (หรืออาจแตะ 100% ในบางช่วง) ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของประชาชน การเข้าถึงสินเชื่อ และการเติบโตของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้ครัวเรือนที่สูงทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งนำไปสู่ยอดปฏิเสธสินเชื่อที่สูงถึง 50-70% ในบางกรณี ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
เราต้องมองหนี้ครัวเรือนว่าเป็น “กับดัก” ที่ทำให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่าง ๆ เป็นไปได้ยากและไม่เห็นผลเต็มที่ หากประชาชนมีภาระหนี้สินล้นพ้นตัว ก็จะไม่มีกำลังจับจ่ายใช้สอย การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอื่น ๆ ก็จะพลอยซบเซาไปด้วย การตั้งเป้าลดหนี้ครัวเรือนลงมาที่ 80% ของ GDP นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ต้องทำอย่างมีกลยุทธ์และได้ผลจริง ไม่ใช่แค่การพักหนี้ชั่วคราว แต่เป็นการสร้างโอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้ การให้ความรู้ทางการเงิน และการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยปลดล็อกกำลังซื้อของคนไทย และกระตุ้นการบริโภค ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน
ส่วนที่ 2: เข็มทิศใหม่: กลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนและยกระดับขีดความสามารถ
FDI พลิกโฉม: แม่เหล็กดึงดูดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) คือหัวใจสำคัญของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและยกระดับขีดความสามารถในการผลิตของไทย ในโลกปี 2568 ที่ห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังถูกปรับเปลี่ยน ไทยต้องวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นมากกว่าฐานการผลิตราคาถูก แต่เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ซึ่งได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสะอาด และการแพทย์ครบวงจร
รัฐบาลต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการสร้าง “แม่เหล็ก” ดึงดูดการลงทุนเหล่านี้ให้เข้ามาในประเทศ ไม่ใช่แค่การให้สิทธิประโยชน์จาก BOI ในเชิงตัวเลขเท่านั้น แต่ต้องแปลไปสู่การลงทุนจริงที่สร้างการจ้างงานที่มีคุณภาพ ถ่ายทอดเทคโนโลยี และเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศได้จริง สิ่งที่เราต้องการคือการลงทุนที่เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของประเทศ จากการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้าที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคการส่งออกของไทยในระยะยาว นอกจากนี้ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่เข้มแข็ง และการสนับสนุนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทางในสาขาเหล่านี้ ก็เป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในการสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุนต่างชาติระดับโลก
ตลาดทุน: หัวใจของการระดมทุนและกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ถูกมองข้าม
ตลาดทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้น ถือเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับภาคเอกชนในการขยายกิจการและสร้างนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมา ตลาดทุนของไทยยังไม่ได้รับการให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ในฐานะกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ในปี 2568 ต้องทำคือการพลิกโฉมตลาดทุนให้เป็นเครื่องยนต์อีกตัวหนึ่งที่ทรงพลัง สามารถสร้าง “พายุหมุน” ทางเศรษฐกิจได้หลายรอบ
เมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ผู้คนที่มีกำไรจากการลงทุนก็จะมีความมั่นใจและมีกำลังในการใช้จ่ายทันที ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการบริโภคภายในประเทศให้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ เราจึงต้องส่งเสริมให้ตลาดทุนเป็นของทุกคน ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มคนรวยเท่านั้น แต่ต้องเข้าถึงได้ง่ายและมีเครื่องมือที่หลากหลายสำหรับนักลงทุนทุกระดับ เพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความมั่งคั่งและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยกัน การปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัย เพิ่มความโปร่งใส ส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
เลิกประชานิยม สู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน: บทเรียนจากอดีต สู่ความมั่นคง 2568
นโยบายประชานิยมที่เน้นการแจกจ่ายเงินหรือให้สิทธิประโยชน์ระยะสั้น โดยขาดการพิจารณาถึงความยั่งยืนทางการคลังและผลกระทบเชิงโครงสร้าง มักเป็นกับดักที่ทำให้งบประมาณของประเทศมีข้อจำกัดและไม่สามารถนำไปลงทุนในสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเติบโตระยะยาวได้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอยืนยันว่ามาตรการเหล่านี้มักให้ผลดีแค่ชั่วคราว และไม่สามารถแก้ปัญหารากฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริงได้ บทเรียนจากอดีตสอนเราว่า การใช้จ่ายแบบประชานิยมมักจะ “ทำไปแล้วก็หายไป” โดยไม่ทิ้งมรดกทางเศรษฐกิจที่มั่นคงไว้
ในปี 2568 รัฐบาลจะต้องกล้าที่จะลด ละ เลิกนโยบายประชานิยม และหันมาโฟกัสกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ตัวปัญหาจริง ๆ เสมือนกับการวินิจฉัยโรคแล้วต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แค่การให้ยาพาราแก้ปวดที่บรรเทาอาการได้เพียงชั่วครู่ เราต้องการวินัยทางการคลังที่เข้มแข็ง การจัดสรรงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ และการลงทุนในโครงการที่จะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว การมุ่งเน้นที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับการศึกษา และการส่งเสริมนวัตกรรม จะเป็นหนทางที่ยั่งยืนกว่าในการสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศ และยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมีความมั่นใจในทิศทางเศรษฐกิจของไทย
ส่วนที่ 3: ปฏิรูปเชิงรุก: ภาคอสังหาริมทรัพย์และระบบราชการ
อสังหาริมทรัพย์ 2568: คลื่นแห่งความท้าทายและการปรับตัวครั้งใหญ่
ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่เผชิญกับความท้าทายอย่างหนักหน่วงที่สุดในรอบ 20 ปี ตัวเลขจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์และธนาคารเกียรตินาคินภัทร ชี้ให้เห็นว่า ยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ราว 3 แสนหน่วย ซึ่งลดลงจากระดับ 4 แสนหน่วยก่อนช่วงโควิด-19 และถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี โดยยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี ปัญหาหลักยังคงวนเวียนอยู่กับกำลังซื้อที่ลดลงจากภาวะหนี้ครัวเรือนสูง และความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ทำให้ยอดกู้ไม่ผ่านสูงถึง 50-70% สำหรับผู้ซื้อบางกลุ่ม
เพื่อพลิกฟื้นภาคอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลต้องเข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างจริงจัง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อโดยรวมให้กับผู้บริโภคได้ นอกจากนี้ ควรพิจารณามาตรการกระตุ้นที่ตรงจุดและยั่งยืน เช่น การปรับลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนให้ AMC (Asset Management Company) เข้ามาซื้อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) จากสถาบันการเงิน เพื่อช่วยลดภาระหนี้เสียและทำให้สถาบันการเงินมีสภาพคล่องมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นต้องมาพร้อมกับการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของตลาด ทั้งในด้านราคา ทำเล และฟังก์ชันการใช้งาน รวมถึงการมองหาโอกาสในตลาดกลุ่มใหม่ ๆ เช่น ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ หรือชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อสูง
Ease of Doing Business: กุญแจไขปัญหาคอร์รัปชันและต้นทุนแฝง
หนึ่งในข้อเรียกร้องที่นักธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติพูดถึงมาอย่างยาวนาน คือการปรับปรุงเรื่อง Ease of Doing Business หรือความสะดวกในการประกอบธุรกิจในประเทศไทย ปัญหาคอขวดในระบบราชการ ความล่าช้าในการขอใบอนุญาตต่าง ๆ และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ล้วนเป็น “ต้นทุนแฝง” ที่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ การปฏิรูปตรงจุดนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรอได้อีกต่อไปในปี 2568
รัฐบาลต้องเร่งผลักดันการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่แค่การรวมสถานที่ แต่เป็นการบูรณาการกระบวนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษและเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต ที่นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการติดต่อราชการ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในกระบวนการอนุมัติ-อนุญาต จะช่วยเพิ่มความโปร่งใส ลดขั้นตอน ลดเวลา และลดโอกาสในการเรียกรับผลประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าลงทุนและทำธุรกิจได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยกระดับแรงงานไทย: เตรียมพร้อมสู่โลกงานแห่งอนาคต
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ New S-Curve และการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หากปราศจากการพัฒนาศักยภาพของ “คนไทย” ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานแห่งอนาคต การอัพสกิล (Upskill) และรีสกิล (Reskill) คือสิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญสูงสุด โดยเริ่มต้นจากการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 รวมถึงการลงทุนในแพลตฟอร์มการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เข้าถึงง่ายและมีคุณภาพ
เราต้องการแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทางในสาขาที่ประเทศไทยต้องการ เช่น วิศวกรซอฟต์แวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ ช่างเทคนิคสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า นักวิเคราะห์ข้อมูล และบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง การจับมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาหลักสูตรที่ตรงกับความต้องการของตลาด จะช่วยปิดช่องว่างด้านทักษะ (Skill Gap) และสร้าง “มนุษย์” ที่ผู้ประกอบการอยากได้ไปทำงานด้วย ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับผลิตภาพแรงงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ส่วนที่ 4: มิติใหม่แห่งการเติบโต: ท่องเที่ยว, Wellness และโครงสร้างพื้นฐาน
การท่องเที่ยวไทย 2568: สานต่อจุดแข็ง สร้างมูลค่าเพิ่มระดับโลก
การท่องเที่ยวคือหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และมีศักยภาพในการสร้างรายได้จำนวนมหาศาลให้กับประเทศ อย่างไรก็ตาม ในโลกปี 2568 เราไม่สามารถพึ่งพิงการท่องเที่ยวแบบปริมาณ (Mass Tourism) เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป แต่ต้องหันมามุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value-added Tourism) และดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและมีกำลังซื้อสูงมากขึ้น
การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (Eco-Tourism) และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism) จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและกระจายตัวไปยังภูมิภาคต่าง ๆ รัฐบาลต้องลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงบริการให้ได้มาตรฐานสากล และส่งเสริมการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครและมีความพร้อมที่จะใช้จ่ายเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี
Wellness Economy: พระเอกตัวจริงที่ไทยต้องคว้าโอกาส
ประเทศไทยมีจุดแข็งที่โดดเด่นอย่างมากในด้าน Wellness และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากทั่วโลกในเรื่องของ “Service Mind” และการต้อนรับที่อบอุ่น นี่คือ “พระเอก” ตัวจริงที่ไทยต้องคว้าโอกาสในการเป็นศูนย์กลาง Wellness ระดับโลก โดยการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ครบวงจร ตั้งแต่สถานพยาบาลชั้นนำ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ รีทรีตบำบัด สปา ไปจนถึงอาหารเพื่อสุขภาพ และที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพ
การดึงดูดชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการใช้ชีวิตหลังเกษียณในประเทศที่มีบริการด้านสุขภาพและการดูแลที่ดีเยี่ยม ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสทองที่ต้องเร่งคว้า โดยต้องมีการอำนวยความสะดวกด้านกฎระเบียบการพำนักระยะยาว การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และการสร้างชุมชนที่รองรับกลุ่มคนเหล่านี้ การพัฒนา Wellness Economy อย่างจริงจังจะไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับประเทศ แต่ยังช่วยยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพของคนไทยให้ดียิ่งขึ้นไปพร้อมกัน
โครงสร้างพื้นฐาน: เสาหลักแห่งการเชื่อมโยงและขีดความสามารถทางการแข่งขัน
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่คือหัวใจสำคัญของการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพ โลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงภูมิภาค พลังงานสะอาด หรือสาธารณูปโภคที่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต ที่ประสบปัญหาการจราจรติดขัด ขยะล้นเมือง และน้ำประปาไม่เพียงพอ การลงทุนในเมกะโปรเจกต์ เช่น ถนน ทางด่วน รถไฟฟ้า และระบบบริหารจัดการขยะ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน
ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบทางด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การมีระบบการคมนาคมขนส่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้า เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง และดึงดูดการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติที่ต้องการใช้ไทยเป็นฐานในการกระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรอบด้านจะทำให้ไทยก้าวสู่การเป็น Regional Logistic Hub และเป็นประตูสำคัญของภูมิภาคอย่างแท้จริง
บทสรุปและคำเชิญชวน
ปี 2568 คือห้วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางอนาคตอย่างเด็ดขาด เราไม่สามารถทนกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำติดดิน และปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุมเร้าได้อีกต่อไป การปฏิวัติเศรษฐกิจไทยอย่างจริงจังตามพิมพ์เขียวที่ได้นำเสนอไป ทั้งการแก้ปัญหารากฐานอย่างหนี้ครัวเรือนและประสิทธิภาพของภาครัฐ การดึงดูดการลงทุนคุณภาพสูงในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การพลิกฟื้นตลาดทุน การละเลิกนโยบายประชานิยม การปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ การยกระดับแรงงาน และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคการท่องเที่ยวและ Wellness พร้อมกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ล้วนเป็นจิ๊กซอว์ที่สำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และพุ่งทะยานสู่การเติบโต 3-4% ที่มั่นคงและยั่งยืน
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ต้องการความเป็นผู้นำที่กล้าหาญ วิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความต่อเนื่องทางนโยบาย และที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน นักลงทุน สื่อมวลชน และประชาชนทุกคน เรามีศักยภาพ มีทรัพยากร และมีโอกาสที่จะพลิกฟื้นและสร้างอนาคตที่สดใสให้กับประเทศนี้ได้ หากเราทุกคนร่วมกันก้าวข้ามความขัดแย้งระยะสั้น และมุ่งมั่นสู่เป้าหมายเดียวกัน
ถึงเวลาแล้วที่ต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่พูดถึงการปฏิรูป แต่ต้องลงมือปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่ออนาคตของประเทศไทยที่เราทุกคนภาคภูมิใจ ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ยุคใหม่ที่แข็งแกร่ง มั่งคั่ง และยั่งยืนไปด้วยกัน และหากท่านเป็นนักลงทุนหรือผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโอกาสในการสร้างการเติบโตในภูมิภาคนี้ ประเทศไทยในปี 2568 และในทศวรรษหน้า คือจุดหมายที่ท่านไม่ควรมองข้าม!

