ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยปี 2568: ถอดบทเรียนเพื่ออนาคตที่ก้าวกระโดด หนีกับดัก GDP ต่ำ และดึงดูดการลงทุนระดับโลก
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการเศรษฐกิจ การเงิน และอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมเชื่อมั่นว่าปี 2568 คือห้วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ ท่ามกลางภูมิทัศน์การเมืองที่กำลังเปลี่ยนผ่าน และความคาดหวังต่อรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามานำพาประเทศให้พ้นจากสภาวะชะงักงัน คำถามสำคัญคือ เราจะรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจได้อย่างไรเพื่อหนีกับดักการเติบโตที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนให้คนไทยทุกคน ในบทความนี้ ผมจะพาคุณเจาะลึกถึงความท้าทายและโอกาส พร้อมเสนอแนวทางที่มาจากประสบการณ์ตรงและมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในภาคส่วนต่างๆ เพื่ออนาคตที่สดใสของชาติ
หลุดพ้นจากหล่ม GDP ต่ำ: การปฏิรูปเชิงโครงสร้างคือหัวใจ
สถานการณ์ปัจจุบันบ่งชี้ชัดเจนว่า หากประเทศไทยยังคงดำเนินนโยบายแบบเดิมๆ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของเราจะยังคงวนเวียนอยู่เพียง 1-2% ต่อปี ซึ่งถือว่าไม่เพียงพออย่างยิ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตประชากร ยิ่งไปกว่านั้น รายได้ต่อหัวของคนไทยที่ยังต่ำกว่า 8,000 เหรียญสหรัฐฯ สะท้อนถึงช่องว่างขนาดใหญ่ที่เราต้องเร่งเติมเต็ม
ในมุมมองของนักกลยุทธ์ด้านการลงทุนและผู้บริหารธุรกิจการเงินระดับประเทศหลายท่านต่างเห็นพ้องว่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์เพียงชั่วคราว ไม่สามารถพาเราไปถึงเป้าหมายได้ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองไปที่รากเหง้าของปัญหา และผ่าตัดโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ผมมองว่าการปฏิรูปนี้ไม่ใช่แค่การปรับตัว แต่เป็นการ “รื้อสร้าง” เพื่อวางรากฐานใหม่ที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นรองรับความผันผวนของโลกยุค 2025
ปลดแอกหนี้ครัวเรือน: พลิกวิกฤตเป็นพลังขับเคลื่อน
ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่ว ซึ่งบางสำนักประเมินว่าอาจพุ่งเกิน 90% ของ GDP เป็นเสมือนหินถ่วงที่ฉุดรั้งกำลังซื้อและการบริโภคภายในประเทศอย่างรุนแรง ในปี 2568 นี้ หากเราไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างจริงจังและยั่งยืน เป้าหมายในการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ 3-4% จะยังคงเป็นเพียงความฝัน การแก้ปัญหาต้องไม่ใช่แค่การพักชำระหนี้หรือมาตรการบรรเทาชั่วคราว แต่ต้องครอบคลุมถึง:
การปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน: รัฐบาลและสถาบันการเงินต้องร่วมกันออกมาตรการที่ครอบคลุม ทั้งการให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ประชาชน (Financial Literacy), การรวมหนี้, การลดดอกเบี้ย, หรือการขยายระยะเวลาผ่อนชำระที่เหมาะสมกับศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้
ส่งเสริมวินัยทางการเงิน: สร้างความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงินส่วนบุคคล การออม และการลงทุน ให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและวัฒนธรรมองค์กร
แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ: ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่บ่อนทำลายคุณภาพชีวิตประชาชน การบูรณาการข้อมูลและกลไกการเข้าถึงสินเชื่อในระบบสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง จะเป็นกุญแจสำคัญ
หากเราสามารถลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนลงมาอยู่ที่ระดับ 80% หรือต่ำกว่าได้อย่างแท้จริง นั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่แข็งแกร่งในการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานรากอย่างมีนัยสำคัญ
ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): สร้างสรรค์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต
การดึงดูด FDI คือกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและสินค้าส่งออกของไทยให้ก้าวทันโลกยุคใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขคำขอส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่สวยหรู แต่ต้องเป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม New S-Curve และอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เราต้องการให้เป็นฐานการผลิตสำคัญ อาทิ:
ยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem): ไม่ใช่แค่การผลิตรถยนต์ แต่รวมถึงแบตเตอรี่ สถานีชาร์จ และ R&D ที่เกี่ยวข้อง
อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics): ชิ้นส่วนไฮเทค, เซมิคอนดักเตอร์, IoT
ดิจิทัลและ AI (Digital & AI): Data Centers, Cloud Computing, AI Development
พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีชีวภาพ (Clean Energy & Bio-Tech): การผลิตพลังงานหมุนเวียน, ยาและเวชภัณฑ์ขั้นสูง
รัฐบาลต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนอย่างครบวงจร ทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย การสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา การปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความชัดเจนและรวดเร็ว รวมถึงการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมเหล่านี้ การแข่งขันเพื่อดึงดูด FDI ทั่วโลกในปี 2568 จะยิ่งเข้มข้นขึ้น ไทยต้องแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบที่เหนือกว่าคู่แข่ง
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เดิมที่แข็งแกร่ง: การส่งออกและการท่องเที่ยวฉบับ 2025
แม้การสร้างอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น แต่เราก็ไม่อาจละทิ้งเครื่องยนต์หลักที่เคยสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศมาโดยตลอดอย่างการส่งออกและการท่องเที่ยว ในปี 2568 นี้ โลกกำลังฟื้นตัวหลังวิกฤตการณ์ต่างๆ โอกาสจึงเปิดกว้าง แต่เราต้องปรับกลยุทธ์ให้เฉียบคมขึ้น:
การส่งออก: ต้องมองหาตลาดใหม่ๆ นอกเหนือจากตลาดหลักเดิม เช่น กลุ่มประเทศเกิดใหม่ในแอฟริกาหรือละตินอเมริกา รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารคุณภาพสูง
การท่องเที่ยว: ไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่เราต้องยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวให้พรีเมียมและหลากหลายมากขึ้น เน้นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่เชื่อมโยงกับจุดแข็งด้านการบริการและการแพทย์ของไทย การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองเพื่อกระจายรายได้
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว เช่น สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ หรือระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งสำคัญในการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและยกระดับศักยภาพการแข่งขัน
ลดละเลิกนโยบายประชานิยม: สร้างเสถียรภาพทางการคลังที่ยั่งยืน
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราเห็นได้ชัดว่านโยบายประชานิยมที่เน้นการแจกจ่ายเงินหรืออุดหนุนแบบชั่วคราว มักจะสร้างภาระทางการคลังในระยะยาว และไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างได้อย่างแท้จริง ในปี 2568 นี้ รัฐบาลใหม่ต้องกล้าหาญที่จะลดละเลิกนโยบายเหล่านี้ และหันมาใช้งบประมาณอย่างมีวินัยและโปร่งใส มุ่งเน้นไปที่:
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: ที่สร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในระยะยาว (เช่น ระบบคมนาคมขนส่ง, โครงข่ายดิจิทัล)
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์: การศึกษา, การฝึกอบรมทักษะแรงงาน
การสนับสนุน SMEs: ด้วยมาตรการที่เข้าถึงง่ายและตรงจุด เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กเติบโตและสร้างงาน
การรักษาวินัยทางการคลัง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และทำให้ไทยมีพื้นที่ในการดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต
ยกระดับตลาดหุ้น: หัวใจของการระดมทุนและการสร้างความมั่งคั่ง
ตลาดหุ้นไทยควรได้รับการให้ความสำคัญในฐานะแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หลายครั้งที่เราละเลยศักยภาพอันมหาศาลของตลาดทุน ในปี 2568 รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลควรส่งเสริมให้ตลาดหุ้นทำหน้าที่ได้อย่างเต็มศักยภาพ:
เพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ: ด้วยการปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ทันสมัย โปร่งใส และสร้างความน่าสนใจให้กับบริษัทจดทะเบียน (เช่น กลุ่มหุ้น Growth Stock, หุ้นปันผล)
ส่งเสริมการเข้าถึงตลาดทุนสำหรับประชาชน: ลดข้อจำกัดในการลงทุน สร้างความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุน (การวางแผนการเงิน) และเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย (เช่น กองทุนรวม) เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมและสร้างความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นได้
ใช้ประโยชน์จาก “Wealth Effect”: เมื่อตลาดหุ้นขาขึ้น ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนจะนำไปสู่การบริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม
การบริหารจัดการตลาดหุ้นที่ดี สามารถเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจอีกตัวที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว
เสถียรภาพทางการเมืองและทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง: ปัจจัยสู่ความสำเร็จ
นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่างมองหาความต่อเนื่องและความแน่นอนในการดำเนินนโยบาย การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง หรือการที่ทีมเศรษฐกิจขาดเอกภาพและอำนาจในการสั่งการ จะบั่นทอนความเชื่อมั่นและทำให้การวางแผนระยะยาวเป็นไปได้ยาก ในปี 2568 เราต้องการ:
รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ: สามารถบริหารประเทศได้ตามวาระ และดำเนินนโยบายได้อย่างต่อเนื่อง
ทีมเศรษฐกิจที่มีเอกภาพ: หัวหน้าทีมเศรษฐกิจต้องมีอำนาจและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน สามารถบูรณาการการทำงานของกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ
ลดความขัดแย้งทางการเมือง: เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มที่
เสถียรภาพทางการเมืองเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้นโยบายต่างๆ ที่เราวางไว้สามารถขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จได้จริง
ฝ่าวิกฤตอสังหาริมทรัพย์: จุดคานงัดเศรษฐกิจปี 2568
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เผชิญกับความท้าทายที่หนักหน่วงที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ที่คาดว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ สาเหตุหลักมาจาก:
หนี้ครัวเรือนสูง: ส่งผลให้กำลังซื้อลดลง และธนาคารเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อบ้าน โดยมีอัตราปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 50-70% ในบางพื้นที่
อุปทานส่วนเกิน: ในบางทำเลและบางประเภทที่อยู่อาศัย
รัฐบาลต้องเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังและรอบด้าน ไม่ใช่แค่การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึง:
การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน: เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและลดภาระผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และทุกภาคส่วน
ส่งเสริมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์: โดยเฉพาะในโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ เช่น ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Wellness Residence), ที่อยู่อาศัยที่เน้นพลังงานสะอาด (Green Building), หรือโครงการ mixed-use ที่ผสานไลฟ์สไตล์
สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติ: โดยเฉพาะกลุ่ม Long-term Stay หรือกลุ่มวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อสูง ให้สามารถเข้ามาลงทุนหรือซื้อที่อยู่อาศัยในไทยได้ง่ายขึ้นภายใต้กฎเกณฑ์ที่โปร่งใส
ลดคอร์รัปชันและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ: สร้างแต้มต่อให้ไทย
ในฐานะผู้ประกอบการ สิ่งที่เราต้องการเห็นจากทุกรัฐบาลคือการปรับปรุง “Ease of Doing Business” ให้ดีขึ้นอย่างแท้จริง การติดต่อขออนุมัติ-อนุญาตจากหน่วยงานราชการไทยยังคงล่าช้า ซับซ้อน และมี “ต้นทุนแฝง” จากปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างมาก
ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ยาวนาน การแก้ไขต้องทำอย่างเป็นระบบ:
One Stop Service ที่แท้จริง: ไม่ใช่แค่การรวมศูนย์ แต่ต้องลดขั้นตอนและเอกสาร เพิ่มความโปร่งใส ตรวจสอบได้ด้วยระบบดิจิทัล
การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งและเป็นธรรม: ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง และลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด
ปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัย: ยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ
หากประเทศไทยสามารถทำให้การประกอบธุรกิจเป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็ว และปราศจากการคอร์รัปชัน เราจะสามารถดึงดูดทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติให้เข้ามาลงทุนและสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างเต็มที่
เพิ่มศักยภาพแรงงานและโครงสร้างพื้นฐาน: เตรียมพร้อมสำหรับโลกอนาคต
เศรษฐกิจไทยจะก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วได้ ต้องอาศัยการยกระดับศักยภาพของ “คน” และ “โครงสร้างพื้นฐาน”:
Upskill-Reskill แรงงาน: ลงทุนกับการศึกษาและฝึกอบรมทักษะที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรม New S-Curve เช่น ทักษะดิจิทัล, วิทยาศาสตร์ข้อมูล, AI, วิศวกรรมขั้นสูง เพื่อให้แรงงานไทยเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานโลกยุคใหม่
โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่: ไม่ใช่แค่ถนน แต่รวมถึงระบบคมนาคมขนส่งแบบบูรณาการ (รถไฟความเร็วสูง, รถไฟฟ้า), โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง, Smart City infrastructure และระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัยและเพียงพอต่อการเติบโตของเมือง
Wellness และ Service Mind: ไทยมีจุดแข็งด้านการบริการและสุขภาพระดับโลก เราต้องส่งเสริมและใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ให้เต็มที่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง และนักลงทุนที่สนใจลงทุนในธุรกิจบริการ
นอกจากนี้ การที่ไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เรามีศักยภาพในการเป็น Regional Logistic Hub หากเรามีการคมนาคมขนส่งที่ดี ก็จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมหาศาล
ภูเก็ตโมเดล: ต้นแบบเมืองระดับโลกที่ต้องแก้ปัญหาเชิงระบบ
กรณีศึกษาของภูเก็ตสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ยังขาดการจัดการเชิงระบบที่ดี แม้ภูเก็ตจะเป็นเมืองที่สร้างรายได้มหาศาลจากการท่องเที่ยว แต่ชาวภูเก็ตกลับต้องเผชิญกับปัญหาเรื้อรัง เช่น รถติด, ขยะล้นเมือง, น้ำประปาไม่เพียงพอ, และปัญหาด้านความปลอดภัย
สิ่งที่ภูเก็ตต้องการ และอาจเป็นต้นแบบให้กับเมืองสำคัญอื่นๆ คือ:
One Stop Service ที่มีประสิทธิภาพ: เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติในการติดต่อราชการ ลดขั้นตอน ลดความล่าช้า และขจัดปัญหาคอร์รัปชัน
เมกะโปรเจกต์ด้านโครงสร้างพื้นฐาน: เช่น ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า), ถนนหนทางที่ได้มาตรฐาน, ระบบจัดการขยะและน้ำเสียที่ทันสมัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ และเสริมภาพลักษณ์ของภูเก็ตในฐานะเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่น่าอยู่อย่างแท้จริง
การบริหารจัดการแบบบูรณาการ: หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ต้องทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและวางแผนพัฒนาระยะยาว
อนาคตของไทยอยู่ที่การลงมือทำ
ปี 2568 ไม่ใช่ปีที่เราจะสามารถประคับประคองสถานการณ์ไปได้อีกต่อไป หากเราต้องการเห็นประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักการเติบโตที่ต่ำ สร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืน และเป็นประเทศที่น่าอยู่ น่าลงทุนอย่างแท้จริง การปฏิรูปเชิงโครงสร้างในทุกมิติที่กล่าวมาข้างต้นไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นเร่งด่วน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้ามองและคลุกคลีกับวงการนี้มาตลอด ผมเชื่อมั่นว่าเรามีศักยภาพ มีทรัพยากร และมีคนเก่งที่จะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศนี้ไปข้างหน้าได้ ขอเพียงแค่ภาครัฐกล้าที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดขาด มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงใจ
ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือประชาชน ต้องร่วมมือกัน สร้างแรงผลักดัน และร่วมกันออกแบบอนาคตของประเทศไทยให้เป็นไปในทิศทางที่เราใฝ่ฝัน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อวางรากฐานอันมั่นคงสำหรับคนรุ่นต่อไป.
มาร่วมสร้างประเทศไทยที่ก้าวกระโดดและแข็งแกร่งไปด้วยกัน. หากท่านสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางแผนการลงทุน หรือต้องการคำปรึกษาด้านการจัดการความมั่งคั่ง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนี้ โปรดติดต่อเราวันนี้.

