ฝ่ามรสุมปี 2568: พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กับยุทธศาสตร์พลิกเกมอสังหาฯ สู่ความยั่งยืนด้วยเป้ายอดขายหมื่นล้านและรายได้ประจำ 30% ภายในปี 2571
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงผันผวนของตลาดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่สถานการณ์ที่ตลาดเผชิญอยู่ในช่วงปี 2567-2568 นี้ นับเป็นความท้าทายที่แตกต่างและรุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี ไม่ใช่เพียงแค่การชะลอตัวปกติ แต่เป็นการปรับฐานครั้งใหญ่ที่เกิดจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและสถานการณ์ทางการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางมรสุมลูกนี้ ผมยังคงเห็นถึงศักยภาพของ “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” (Property Perfect) ในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน เพื่อไม่เพียงแค่ประคองตัว แต่ยังก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น ด้วยเป้ายอดขายหมื่นล้านบาทในปี 2569 และการสร้างฐานรายได้ประจำให้แตะ 30% ภายในปี 2571
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568: มรสุมที่ไม่อาจมองข้าม
ต้องยอมรับว่าปี 2568 เป็นปีที่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยเผชิญหน้ากับแรงกดดันรอบด้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตัวเลขจากหลายสำนักวิจัยสะท้อนภาพชัดเจนว่าทั้งอุปทานและอุปสงค์ในตลาดลดลงแตะจุดต่ำสุดในรอบสองทศวรรษ กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเป็นผลพวงมาจากหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงเป็นแรงกดดัน และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการระดับกลางถึงบนและสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุน ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และมักจะชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปจนกว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจภายในประเทศแล้ว ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ยังเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ฉุดรั้งความเชื่อมั่นของทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติ การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่ล่าช้าและนโยบายเศรษฐกิจที่ยังขาดความชัดเจนต่อเนื่อง ทำให้เกิดสุญญากาศทางความเชื่อมั่นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุนต่างชาติที่เคยเป็นหัวใจสำคัญในตลาดคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองเริ่มชะลอการตัดสินใจลงทุนระยะยาว ทำให้ตลาดเผชิญกับความท้าทายในการระบายสต็อกที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าตัวเลขคาดการณ์โครงการเปิดใหม่ในปี 2568 จะลดลงเหลือเพียงประมาณ 30,000 หน่วย ซึ่งสะท้อนถึงความระมัดระวังของผู้พัฒนา แต่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยโดยรวมก็ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สามารถดูดซับอุปทานที่มีอยู่ในตลาดได้อย่างเต็มที่ โดยคาดการณ์ความต้องการซื้อจะอยู่ที่ประมาณ 46,000 หน่วย ซึ่งส่วนต่างนี้บ่งชี้ถึงภาวะโอเวอร์ซัพพลายในบางเซกเมนต์
ในฐานะนักวิเคราะห์ ผมมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นก็ต่อเมื่อเราได้เห็นรัฐบาลชุดใหม่ที่มีความชัดเจนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและมีทีมงานที่มีความสามารถในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องอาศัยกลไกที่ขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงการกระตุ้นการลงทุนจากต่างชาติผ่านมาตรการที่เอื้อต่อการลงทุนระยะยาวในตลาดอสังหาริมทรัพย์
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กับเป้าหมายพลิกฟื้นและเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2569
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์ยาวนาน ได้ประกาศกลยุทธ์เชิงรุกสำหรับปี 2569 ด้วยการตั้งเป้ายอดขายรวมที่ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค โดยตรง 9,000 ล้านบาท และจากโครงการคอนโดมิเนียมของ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออีก 2,000 ล้านบาท เป้าหมายนี้ไม่ใช่แค่การอยู่รอด แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นที่จะกลับมาสู่จุดแข็งเดิมของบริษัท และเป็นการตอกย้ำถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตลาดผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data-Driven) ที่แม่นยำ
กลยุทธ์ที่ 1: การยกระดับผลิตภัณฑ์และคุณภาพงานก่อสร้าง – ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่
หัวใจสำคัญในการแข่งขันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันคือ “ผลิตภัณฑ์” และ “คุณภาพ” ที่ไม่อาจประนีประนอมได้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้ให้ความสำคัญกับการยกระดับมาตรฐานเหล่านี้อย่างเข้มข้น โดยมีแผนเปิดตัวแบบบ้านรุ่นใหม่ในทุกเซกเมนต์ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ซึ่งผ่านการออกแบบร่วมกันระหว่างทีมสถาปนิกทั้งภายในและภายนอกองค์กร
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่า “แบบบ้านใหม่” ในปี 2569 ไม่ใช่แค่เรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก แต่ต้องตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคอย่างแท้จริง การปรับรูปแบบบ้านและการปรับฟังก์ชันภายในให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและยืดหยุ่นมากขึ้น เป็นการสะท้อนถึงความต้องการพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทำงาน Work-From-Home ที่มีประสิทธิภาพ ห้องสำหรับกิจกรรมอดิเรก หรือแม้แต่การรองรับการอยู่อาศัยแบบหลายช่วงวัย (Multi-Generational Living) ที่กำลังเป็นเทรนด์
นอกจากนี้ การควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ด้วยกระบวนการตรวจสอบที่มีมาตรฐานสูง ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อในภาวะที่ผู้บริโภคมีความรอบคอบในการตัดสินใจ การลงทุนในเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัย การใช้วัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืน (Green Building Materials) และการให้ความสำคัญกับ Energy Efficiency ในทุกโครงการ จะเป็นปัจจัยที่เพิ่มมูลค่าและดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อที่ใส่ใจในรายละเอียดและมองหาความคุ้มค่าระยะยาว
การปรับปรุงโครงการที่มีอยู่ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด ก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาด เพราะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์เดิม และช่วยให้โครงการสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว
กลยุทธ์ที่ 2: พลิกโฉมสโมสรสู่ “ศูนย์สุขภาพและไลฟ์สไตล์” (Health & Lifestyle Club)
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้ก้าวข้ามจากการเป็นแค่ “คลับเฮาส์” ไปสู่การเป็น “ศูนย์กลางของชีวิต” อย่างเต็มรูปแบบ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้วางแผนปรับปรุงสโมสรทั้งหมด 25 แห่งภายในโครงการต่าง ๆ ให้เป็น “ศูนย์สุขภาพและไลฟ์สไตล์” ซึ่งเป็นการตอบรับเทรนด์อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ (Health & Wellness Property) ที่กำลังมาแรงทั่วโลก
ในมุมมองของนักพัฒนาและนักลงทุน การสร้างพื้นที่ส่วนกลางที่ครบวงจรด้านสุขภาพและความสะดวกสบาย ถือเป็นการเพิ่มมูลค่า (Added Value) ที่สำคัญให้กับโครงการอย่างมหาศาล สโมสรเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่ออกกำลังกายหรือสระว่ายน้ำอีกต่อไป แต่จะเป็นศูนย์รวมบริการที่หลากหลาย เช่น ฟิตเนสที่ทันสมัยพร้อมผู้ฝึกสอนส่วนตัว โซนโยคะและสปา ห้องทำงานร่วมกัน (Co-working Space) ห้องอ่านหนังสือ คาเฟ่เพื่อสุขภาพ หรือแม้กระทั่งการเป็นจุดเชื่อมต่อกับบริการทางการแพทย์ผ่านเทคโนโลยี (Telemedicine Point) การลงทุนใน “นวัตกรรมที่อยู่อาศัย” ที่ผสมผสานเรื่องสุขภาพและไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของสมาชิกโครงการ สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อระดับบนและกลุ่มลงทุนต่างชาติที่มองหาความมั่งคั่งจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มาพร้อมคุณภาพชีวิตที่ดี
กลยุทธ์ที่ 3: สร้างฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) 30% ใน 3 ปี – ลดความเสี่ยง สร้างความยั่งยืน
นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ระยะยาวของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค การตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ประจำให้อยู่ในระดับไม่น้อยกว่า 30% ภายในปี 2571 สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นในการสร้างความมั่นคงทางการเงินและลดการพึ่งพิงรายได้จากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ลดความเสี่ยงที่จำเป็นอย่างยิ่งในสภาพตลาดที่ผันผวน
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ ผมเห็นว่าโมเดลธุรกิจที่หลากหลายและมีรายได้ประจำที่สม่ำเสมอจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้นในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา การปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความกระชับขึ้น เน้นการสร้างรายได้จากบริษัทร่วมทุนให้เพิ่มขึ้น และการขยายโอกาสในธุรกิจที่สามารถสร้างกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอ (Recurring Income) เป็นแนวทางที่ถูกต้อง
คำถามคือ “รายได้ประจำ” มาจากธุรกิจประเภทใดบ้าง? นอกจากธุรกิจโรงแรมที่ดำเนินการผ่านแกรนด์ แอสเสทฯ แล้ว พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค อาจพิจารณาลงทุนใน:
อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า: เช่น ออฟฟิศให้เช่า (สำนักงานให้เช่า), พื้นที่ค้าปลีก, เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ หรือแม้แต่คลังสินค้าและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่มีผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
ธุรกิจบริการ: ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์และไลฟ์สไตล์ เช่น การบริหารจัดการอาคาร, บริการดูแลผู้สูงอายุในโครงการ, หรือแพลตฟอร์มการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาว
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือพลังงานหมุนเวียน: ที่สามารถเชื่อมโยงกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือการลงทุนในสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
การลงทุนเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ แต่ยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับพอร์ตโฟลิโอโดยรวมของบริษัท และดึงดูดการลงทุนระยะยาวจากนักลงทุนสถาบันที่มองหาความมั่นคงและ “ผลตอบแทนการลงทุน” ที่ยั่งยืน
บทบาทของภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย 2568
แม้ว่าพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จะมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง แต่การฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมยังคงต้องพึ่งพิงปัจจัยภายนอกที่สำคัญ นั่นคือ “เสถียรภาพทางการเมือง” และ “การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย 2568” ในภาพรวม หากรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศหลังการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้จริง มีทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่อง จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า
นโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนต่างชาติ การกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและผู้บริโภค รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคกลับคืนมา ตลาดจะเริ่มเคลื่อนไหว และนั่นคือเวลาที่กลยุทธ์เชิงรุกของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จะสามารถสำแดงผลได้อย่างเต็มที่
ก้าวสู่ความยั่งยืนในระยะยาว
นอกเหนือจากตัวเลขยอดขายและรายได้ประจำ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังคงยึดมั่นในหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งเป็นมากกว่าแค่การทำ CSR แต่เป็นการผสานแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เข้ากับการดำเนินธุรกิจอย่างแท้จริง การใช้วัสดุรักษ์โลก การออกแบบที่คำนึงถึงการประหยัดพลังงาน การสร้างพื้นที่สีเขียว และการมีส่วนร่วมกับชุมชน เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมีคุณค่าในระยะยาว
การปรับตัวในครั้งนี้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จึงไม่ใช่แค่การพลิกเกมเพื่อเอาตัวรอด แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะยาว ซึ่งจะทำให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำที่กำหนดทิศทางของ “ตลาดอสังหาฯ” ไทยในทศวรรษหน้า
คำเชิญชวน
สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่กำลังปรับตัว หรือผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แห่งอนาคตและมอบความมั่งคั่งที่ยั่งยืน พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค พร้อมจะเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ และเป็นแหล่งรวม “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ที่มีศักยภาพ เชิญชวนทุกท่านมาร่วมค้นพบโครงการและโอกาสการลงทุนกับเรา ที่นี่คืออนาคตของการใช้ชีวิตและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่คุณไม่ควรพลาด.

